เรื่องทั้งหมดโดย key8news

กาญจนบุรี – เปิดชุมชนคุณธรรมฯ วัดท่าขนุน กาญจนบุรี 1 ใน 10 สุดยอดชุมชนต้นแบบ “เที่ยวชุมชน ยลวิถี”

กาญจนบุรี – วธ.เปิดชุมชนคุณธรรมฯ วัดท่าขนุน กาญจนบุรี 1 ใน 10 สุดยอดชุมชนต้นแบบ “เที่ยวชุมชน ยลวิถี” ปี 66 ดินแดนประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่ 2 หลากหลายชาติพันธุ์ ชมเส้นทางรถไฟสายมรณะ บ้านหลบภัยเชลยศึก ไหว้พระยอดเขารอยพระพุทธบาท-พระพุทธเจติยคีรี ช้อปชิมสินค้า-อาหารตลาดริมแคว

   นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานพิธีเปิดสุดยอดชุมชนต้นแบบ “เที่ยวชุมชน ยลวิถี” ชุมชนคุณธรรมฯ วัดท่าขนุน โดยมีพระครูวิลาศกาญจนธรรม รองเจ้าคณะอำเภอทองผาภูมิ เจ้าอาวาสวัดท่าขนุนและประธานชุมชนคุณธรรมฯ วัดท่าขนุน ร้อยโททศพล ไชยโกมินทร์ ผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี นางศศิฑอร์ณ สุวรรณมณี หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม นายสถาพร เที่ยงธรรม ผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม วัฒนธรรมจังหวัดในพื้นที่ภาคกลางและภาคตะวันออก นางสาวบุญสนอง บุญยงค์ ประธานเที่ยวชุมชน ยลวิถี วัดท่าขนุน ผู้แทนหน่วยงานรัฐ เอกชน เครือข่ายสภาวัฒนธรรมและชาวชุมชนคุณธรรมฯ วัดท่าขนุน เข้าร่วม ณ ตลาดริมแควเมืองท่าขนุน ตำบลท่าขนุน อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี

นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวว่า ชุมชนคุณธรรมฯ วัดท่าขนุน เป็น 1 ใน 10 สุดยอดชุมชนต้นแบบ “เที่ยวชุมชน ยลวิถี” ประจำปี พ.ศ.2566 ซึ่งมีศักยภาพและความพร้อมด้านการท่องเที่ยวในทุกมิติ มีผู้นำพลังบวรและเครือข่ายที่เข้มแข็ง ชาวบ้านในชุมชนมีความสุข มีความรักสามัคคี มีการสืบสาน รักษาและต่อยอดภูมิปัญญาท้องถิ่นและเป็นอีกหมุดหมายหนึ่งของการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมของนักท่องเที่ยวทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ


ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวอีกว่า ชุมชนแห่งนี้เคยเป็นที่ตั้งของค่ายทหารญี่ปุ่นในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 และมีกลุ่มชาติพันธุ์หลากหลายทั้งไทย กะเหรี่ยง มอญ ม้ง พม่า เย้า ลีซอ มีภาษาและการแต่งกายที่เป็นอัตลักษณ์ของแต่ละกลุ่มชาติพันธุ์ ซึ่งนักท่องเที่ยวที่มาชุมชน จะได้ร่วมงานประเพณีทั้งตักบาตรเทโว กิจกรรมเสาร์ใส่บาตร ตลาดริมแคว ยลวิถีเมืองท่าขนุน กิจกรรมนุ่งผ้าซิ่น นั่งแคร่ไม้ใส่บาตรพระทุกวันอาทิตย์ การวางผางประทีปถวายเป็นพุทธบูชาในวันมาฆบูชา วันอาสาฬหบูชา วันวิสาขบูชาและวันลอยกระทง ประเพณีสงกรานต์ อุ้มพระสรงน้ำ และไปเที่ยวแหล่งท่องเที่ยว เช่น เส้นทางรถไฟสายมรณะที่สร้างขึ้นในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 บ้านหลบภัยเชลยศึก ยอดเขารอยพระพุทธบาทและยอดเขาพระพุทธเจติยคีรี ซึ่งเป็นจุดชมวิวของอำเภอทองผาภูมิและเป็นจุดชมวิวทะเลหมอก แบบ 360 องศา ชมทิวทัศน์และแม่น้ำแควน้อยบนสะพานแขวนหลวงปู่สายและเลือกซื้อสินค้าผลิตภัณฑ์ชุมชนได้ที่ตลาดริมแคว

นอกจากนี้ นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางไปสักการะพระประธาน มณฑปหลวงพ่อมหาลาภสามกษัตริย์ (หลวงพ่อทองคำ หลวงพ่อเงิน หลวงพ่อนาก) และสรีระสังขารหลวงปู่สาย ณ ศาลาร้อยปีหลวงปู่สาย วัดท่าขนุน ชมเส้นทางรถไฟจำลอง สร้างสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 สักการะสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หน้าตัก 21 ศอก และไปชมท่าเรือเก่าบ้านท่าขนุน แวะซื้อผลิตภัณฑ์ชุมชนที่มีอัตลักษณ์ท้องถิ่น อาทิ ผ้าสวัสดิรักษาที่ชุมชนคิดค้นแบบลายผ้าขึ้นใหม่โดยผสมผสานระหว่างไทย ไทยอิสาน กะเหรี่ยงและมอญ เส้นด้ายที่ทอใช้ด้ายสีมงคลประจำวัน 5 สี ปากกาจักสานไม้ไผ่ที่นำลายผ้ามอญมาจักสานเป็นลายปากกา รวมทั้งชิมและซื้ออาหารท้องถิ่น เช่น แกงฮังเลมอญ ขนมทองโย๊ะ ซึ่งเป็นของหวานขึ้นชื่อของอำเภอทองผาภูมิ

ทั้งนี้ กระทรวงวัฒนธรรม(วธ.) ขับเคลื่อนการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ภายใต้โครงการ “เที่ยวชุมชน ยลวิถี”นำอัตลักษณ์ วิถีชีวิต วัฒนธรรมและประเพณีของชุมชนมานำเสนอให้คนไทยและชาวต่างชาติได้ชมและเรียนรู้ โดยคัดเลือกชุมชนคุณธรรมน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงขับเคลื่อนด้วยพลังบวรที่มีศักยภาพและความพร้อมด้านการท่องเที่ยวในทุกมิติของจังหวัดเพื่อรับรางวัล 10 สุดยอดชุมชนต้นแบบ “เที่ยวชุมชน ยลวิถี” ที่วธ. ดำเนินการตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 – 2566 และปีงบประมาณ พ.ศ.2567 จะคัดเลือกอีก 10 ชุมชน ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลในการขับเคลื่อน Soft Power ของไทยสู่นานาชาติ โดยนำทุนวัฒนธรรมของชุมชนมาพัฒนาต่อยอดสร้างสรรค์สินค้าและบริการที่เชื่อมโยงสู่การท่องเที่ยววิถีชุมชน สร้างงาน สร้างรายได้แก่ประชาชนและชุมชน ส่งเสริมเศรษฐกิจฐานรากและกระตุ้นเศรษฐกิจประเทศ และจากการเก็บข้อมูลของวธ. พบว่า สุดยอดชุมชนต้นแบบ “เที่ยวชุมชน ยลวิถี” ที่ได้รับคัดเลือกในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564-2565 จำนวน 20 แห่ง มีรายได้จากการท่องเที่ยววัฒนธรรมรวมกว่า 1,200 ล้านบาท

ข่าวภูมิภาคกาญจนบุรี / ปรีชา ไหลวารินทร์

นครปฐม.นายกหนึ่ง อบจ.ร่วมงานบวชแปลกแต่จริง แจกข้าวสาร 10 ตัน

นายกหนึ่ง อบจ.นครปฐม ร่วมงานบวชแปลกแต่จริง แจกข้าวสาร 10 ตัน เจ้าภาพชื่นมื่นได้บุญสองเท่า

    นายจิรวัฒน์ สะสมทรัพย์ นายก อบจ.นครปฐม พร้อมด้วย นางวิลาสินี สะสมทรัพย์ ภรรยา ได้เดินทางมาเป็นประธาน อุปสมบท นายจุฑาภัทร ชื่นอุรา หลานชาย นายเจษฎา เอี่ยมฐิติกุล (นายกน้อง) นายกอบต.ดอนรวก อ.ดอนตูม จ.นครปฐม นางนงรักษ์ ชูราศรี (กำนันเจี๊ยบ) กำนันตำบลดอนรวก ที่วัดสระสี่เหลี่ยม ต.ดอนรวก อ.ดอนตูม จ.นครปฐม

นายเจษฎา นายกอบต.ดอนรวก อ.ดอนตูม กล่าวว่า วันนี้ได้จัดงานบวชให้หลานชาย ที่วัดสระสี่เหลี่ยม หลังจากที่นำนาคเข้าโบสถ์ทำพิธีอุปสมบทเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็มีข้าวสารเตรียมไว้แจกประชาชนในพื้นที่ และผู้มามาร่วมงาน 2,000 คน ซึ่งเตรียม ข้าวสารหอมมะลิ ถุงละ 5 กิโลไว้กว่า 2,000 ถุง หรือประมาณ 10 ตัน

โดยประชาชนที่เข้าร่วมงานต้องมารับคูปอง เตรียมรอรับข้าวสาร สาเหตุที่จัดงานอุปสมบทและแจกข้าวสารในครั้งนี้เนื่องจาก อยากให้ประชาชนในพื้นที่ได้มีกิจกรรมร่วมกัน อีกทั้งภายในงานยังมีกับข้าวเลี้ยง ตั้งแต่มื้อเช้าและมื้อเที่ยง หลังจากที่ร่วมงานบุญกันเสร็จสิ้นก็ได้ข้าวสารกลับไปบ้าน อิ่มบุญ และอิ่มท้อง อีกด้วย

สยองไฟไหม้เก๋งริมแม่น้ำแม่กลอง ชายปริศนาดับคาซากรถ พบหม้อย่างหมู คาดรมควันปลิดชีพตัวเอง

กาญจนบุรี – สยองไฟไหม้เก๋งริมแม่น้ำแม่กลอง ชายปริศนาคนขับดับสยองคาซาก พบหม้อย่างหมูกระทะอยู่หลังเบาะ คาดรมควันปลิดชีพตัวเอง แต่ไม่ทิ้งประเด็นอื่น

   ร.ต.อ.สงคราม สิทธิสร รอง สว.(สอบสวน)สภ.ท่าม่วง ได้รับแจ้งจากศูนย์วิทยุ สภ.ท่าม่วง ว่าเกิดเหตุเพลิงลุกไหม้รถยนต์เก๋งคนขับเสียชีวิตติดอยู่ภายใน เหตุเกิดบริเวณจุดชมวิวสำหรับนั่งพักผ่อนและตกปลาติดกับสุสานเจ้าแม่วังหีบ ม้องที่ หมู่ 1 ต.เขาน้อย อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี หลังรับแจ้งจึงรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ จากนั้นจึงรุดไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ พร้อมด้วย พ.ต.อ.พิทักษ์ ว่องพานิช ผกก.สภ.ท่าม่วง พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน สภ.ท่าม่วง เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน 7 แพทย์เวร รพ.สมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 19 และกำลังเจ้าหน้าที่หน่วยกู้ชีพขุนรัตนาวุธ โดย พล.ต.ต.พล.ต.ต.นครินทร์ สุคนธวิท ผบก.ภ.จว.กาญจนบุรี ได้สั่งการให้ พ.ต.อ.ภัทรชัย กอสนาน รอง ผบก.ภ.จว.กาญจนบุรี พ.ต.อ.มานะ สำราญวงศ์ ผกก.สส.ภ.จว.กาญจนบุรี พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน ภ.จว.กาญจนบุรี เดินทางไปสมทบเพื่อร่วมคลี่คลายคดี

เมื่อไปถึงพบรถยนต์เก๋งยี่ห้อฮอนด้า ซิตี้ สีบอรนซ์ หมายเลขทะเบียน กร 6325 ราชบุรี จอดอยู่ริมฝั่งแม่น้ำแม่กลอง สภ.ถูกเพลิงลุกไหม้เสียหายเหลือโครงให้เห็น ส่วนเบอะนั่งภายในห้องโดยสารถูกไฟไหม้เสียหายทั้งหมด จากการตรวจสอบพบศพเป็นชายเสียชีวิตอยู่ที่เบาะคนขับถูกไฟไหม้จนดำเป็นตอตะโก ขาขวาขาดหล่นออกมาจากประตูไปตกอยู่กับพื้น ส่วนด้านซ้ายขาดตกอยู่ภายในรถ และนอกจากนี้เจ้าหน้าที่ยังพบหลักฐานสำคัญเป็นเตาสำหรับย่างหมู่กระทะวางอยู่กับพื้นหน้าเบาะหลัง เจ้าหน้าที่จึงเก็บเอาไว้เป็นหลักฐาน หลังจากเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานรวบรวมหลักฐานภายในรถแล้วเสร็จ จึงสั่งการให้เจ้าหน้าที่หน่วยกู้ชีพขุนรัตนาวุธ นำร่างออกมาเพื่อให้แพทย์เวรพิสูจน์ในเบื้องต้น จากนั้นจึงนำศพส่งไปชันสูตรอย่างละเอียดอีกครั้งหนึ่งที่สถาบันนิเวช รพ.ตำรวจ

ทั้งนี้จากการตรวจสอบหมายเลขทะเบียนรถยนต์เก๋งคันดังกล่าว พบว่าผู้ครอบครองคือนายวีระวุฒิ (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 35 ปี ชาว ต.วังเย็น อ.บางแพ จ.ราชบุรี โดยเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน จะได้ประสานไปยังครอบครัวของผู้ครอบครองรถยนต์คันเกิดเหตุว่าเป็นผู้ที่เสียชีวิตภายในรถยนต์หรือไม่

โดยนายเอก(นามสมมุติ)คนงานโรงโม่หินแห่งหนึ่ง เล่าเหตุการณ์ให้เจ้าหน้าที่ฟังว่า ก่อนหน้านี้มีชาวบ้านเห็นเหตุการณ์อยู่หลายคน ครั้งแรกพบกลุ่มควันพวยพุ่งออกมาจากตัวรถ เมื่อตนเห็นจึงรีบวิ่งเข้าไปดู ปรากฏว่าประตูรถยนต์ทั้ง 4 ข้างถูกล็อกเอาไว้ทั้งหมด แต่กระจกฝั่งคนขับลดกระจกลงมาครึ่งหนึ่ง ตนจึงเอามือล้วงดึงล็อกออกแล้วเปิดประตูออกมา ปรากฏว่าที่เบาะคนขับมีผู้เสียชีวิตอยู่ ด้วยความตกใจตนจึงวิ่งออกมา แต่อยู่ๆก็พบว่าเพลิงได้โหมลุกไหม้ขึ้นมาอย่างรวดเร็วประกอบมีลมพัดทำให้ไฟไม้รถยนต์อย่างรุนแรง จากนั้นชาวบ้านที่อยู่ด้วยกันจึงรีบโทรแจ้งให้เจ้าหน้าที่มาตรวจสอบ ก่อนเจ้าหน้าที่จะเดินทางมาถึงรดดับเพลิงจาก อบต.เขาน้อย และรถน้ำของโรงโม่หิน รวม 2 คัน ได้มาช่วยกันดับ เมื่อมาถึงก็ไม่ทันเหตุการณ์เพราะเพลิงค่อยๆสงบลง แต่ก็ได้ฉีดหล่อเลี้ยงเอาไว้เพราะยังมีกลุ่มควันอยู่”นายเอกกล่าว

ด้าน พ.ต.อ.พิทักษ์ ว่องพานิช ผกก.สภ.ท่าม่วง กล่าวว่าเบื้องต้นต้องขอชี้แจงงว่าบาดแผลที่พบบริเวณช่วงลำคอติดกับไหปลาร้าด้านซ้ายเป็นบาดแผลจากของมีคมซึ่งยังไม่ทราบชนิด ไม่ใช่บาดแผลจากกระสุนปืนแต่อย่างใด ขณะเดียวกันผู้ที่เสียชีวิตนั้นยังไม่ทราบว่าเป็นใครเช่นกัน แต่จากการตรวจสอบทะเบียนรถยนต์ ทราบแล้วว่าผู้ครอบครองคือใคร ขณะนี้เจ้าหน้าที่กำลังประสานไปหาญาติเจ้าของรถคันที่เกิดไฟไหม้ เมื่อประสานได้ก็คงจะทราบว่าผู้เสียชีวิตนั้นเป็นใคร เบื้องต้นเจ้าหน้าที่คาดว่าผู้เสียชีวิตน่าจะรมควันฆ่าตัวตาย เนื่องจากพบหลักฐานเป็นเตาย่างหมูกระทะอยู่ด้านหลัง แต่เจ้าหน้าที่ก็ยังไม่ทิ้งประเด็นอื่นๆ แต่จะต้องรอผลพิสูจน์จากสถาบันนิติเวช รพ.ตำรวจ ออกมาเสียก่อน จึงจะทราบได้ว่าสาเหตุเกิดจากอะไรกันแน่ คาดว่าอีกไม่นานก็คงจะทราบ

ข่าวภูมิภาคกาญจนบุรี / ปรีชา ไหลวารินทร์

ผอ.ศูนย์ศึกษากะเหรี่ยงจี้ คพ.เร่งฟื้นฟูลำห้วยคลิตี้ ให้ปลอดสารพิษตามคำพิพากษาศาลฯ

กาญจนบุรี – ผอ.ศูนย์ศึกษากะเหรี่ยงและพัฒนา จี้ คพ.เร่งฟื้นฟูลำห้วยคลิตี้ ให้ปลอดสารพิษตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด หลังพบกากมลพิษมีเหลืออีกเป็นแสนตัน

นายสุรพงษ์ กองจันทึก ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษากะเหรี่ยงและพัฒนา

นายสุรพงษ์ กองจันทึก ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษากะเหรี่ยงและพัฒนา กล่าวว่า กรมควบคุมมลพิษต้องเร่งทำแผนและปฏิบัติการในการฟื้นฟูลำห้วยคลิตี้ให้ปราศจากมลพิษตามคำสั่งศาลปกครองสูงสุด หลังจากพบว่าดำเนินการล่าช้า ไม่เป็นไปตามหลักวิชาการ และพบว่ามีมลพิษจำนวนมากไม่ถูกกำจัด โดยปัจจุบันไม่มีแผนที่จะดำเนินการฟื้นฟูต่อ

การดำเนินการที่ผ่านมาของกรมควบคุมมลพิษช่วงปี 2560-2563 ไม่ใช่การกำจัดมลพิษซึ่งเป็นของเสียอันตราย โดยต้องใช้บริษัทกำจัดมลพิษนำมลพิษเหล่านี้ออกไปสู่โรงงานกำจัดมลพิษ ซึ่งตั้งอยู่ภายนอก แล้วใช้ความร้อนสูงเพื่อให้มลพิษหมดไป จากนั้นจึงฝังกลบในพื้นที่ของบริษัท แต่กรมควบคุมมลพิษกลับขนการย้ายมลพิษไปฝังกลบในป่าเหนือลำห้วยคลิตี้ และเอาไปฝังกลบไม่ถึง 1% ของมลพิษที่มีอยู่ทั้งหมด

นอกจากของเดิมที่ยังไม่มีการกำจัดเลยตามหลักวิชาการเพียงแต่ย้ายไปฝังกลบเพียงจำนวนเล็กน้อยแล้ว ยังพบกองกากหางแร่และดินปนเปื้อนมลพิษตามบริเวณใกล้บ้านของชาวบ้านอีก 5 จุด ซึ่งมีมลพิษรวมแล้วนับแสนตัน ที่ยังไม่มีการนำไปบำบัดให้ปราศจากมลพิษ บางแห่งมีเพียงการนำดินจากพื้นที่ศักยภาพแร่ตะกั่วมาปิดทับ ไม่ใช่ดินจากภายนอกที่ปราศจากมลพิษตะกั่ว

นายสุรพงษ์ กล่าวว่า กรมควบคุมมลพิษมีหน้าที่ปฏิบัติตามคำสั่งของศาลปกครองสูงสุด ที่พิพากษาตั้งแต่ 10 มกราคม 2556 ให้กรมควบคุมมลพิษฟื้นฟูสภาพลำห้วยห้วยคลิตี้ รวมทั้งตรวจและวิเคราะห์ตัวอย่างน้ำ ดิน พืชผัก และสัตว์น้ำในลำห้วยคลิตี้ให้ครอบคลุมทุกฤดูกาลอย่างน้อยฤดูกาลละ 1 ครั้ง จนกว่าจะพบว่าค่าสารตะกั่วในน้ำ ดิน พืชผัก และสัตว์น้ำในลำห้วยคลิตี้ไม่เกินค่ามาตรฐาน เป็นเวลาอย่างน้อย 1 ปี ปัจจุบันผ่านไปกว่า 11 ปีแล้ว ค่าสารตะกั่วในน้ำ ดิน พืชผัก และสัตว์น้ำในลำห้วยคลิตี้ก็ยังเกินค่ามาตรฐาน สร้างความเดือดร้อนและความวิตกกังวลให้กับชาวบ้านเป็นอย่างมาก เนื่องจากอีกไม่นานก็จะเข้าสู่ฤดูฝนแล้ว

โดยโรงแต่งแร่คลิตี้ซึ่งอยู่ในพื้นที่ติดเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร ด้านตะวันตก อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี ได้ปล่อยของเสียจากกิจการเหมืองแร่ตะกั่วลงสู่ลำห้วยคลิตี้ ที่เป็นต้นน้ำของแม่น้ำแม่กลอง จนเป็นข่าวดังในปี 2541 กรมควบคุมมลพิษตรวจพบมีการปนเปื้อนของตะกั่วมาสู่สภาพแวดล้อมภายนอก ตลอดจนลำห้วยคลิตี้ ลงมาถึงลำคลองงู และแม่น้ำแม่กลอง ทั้งกระทรวงสาธารณสุขตรวจพบระดับตะกั่วในเลือดของชาวบ้านคลิตี้และหมู่บ้านใกล้เคียงสูงเกินค่ามาตรฐานจำนวนมาก นำมาสู่การเรียกร้องให้กรมควบคุมมลพิษกำจัดมลพิษให้หมด แล้วไปเรียกค่าใช้จ่ายในการดำเนินการจากบริษัทผู้ก่อมลพิษในภายหลัง

ข่าวภูมิภาคกาญจนบุรี / ปรีชา ไหลวารินทร์

สส.กุ๊ก ยศวัฒน์ พร้อม นอภ.ท่ามะกา ตรวจสอบโรงงานปล่อยน้ำเสียลงคลองชลประทาน

กาญจนบุรี – สส.กุ๊ก ยศวัฒน์ พร้อม นอภ.ท่ามะกา ตรวจสอบ น้ำเสียจากโรงงานชื่อดัง พบปล่อยไหลลงคลองซอยชลประทาน ส่งกลิ่นเหม็นคลุ้งทั้งวัด-ชุมชน

นายยศวัฒน์ มาไพศาลสิน หรือ สส.กุ๊ก สส.จังหวัดกาญจนบุรี พรรคภูมิใจไทย เขต 3 เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 2 พ.ค.67 ผมได้รับการร้องเรียนจากชาวบ้านว่าบริษัทโรงงานอุตสาหกรรมการเกษตรและปศุสัตว์ขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ท้องที่ ต.อุโลกสี่หมื่น อ.ท่ามะกา ได้ปล่อยน้ำเสียลงคลองชลประทานส่งกลุ่มเหม็นคลุ้งไปทั่วบริเวณระยะทางกว่า 10 กิโลเมตร ดังนั้นผมจึงประสานนางอรทัย วงศ์วัชรมงคล นายอำเภอท่ามะกา อุตสาหกรรมจังหวัดกาญจนบุรี เจ้าหน้าที่ส่วนสิ่งแวดล้อมสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม(สนง.ทสจ.)กาญจนบุรี รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องผู้นำท้องถิ่น ผู้นำท้องที่ และชาวบ้าน

ร่วมเดินทางลงพื้นที่ไปตรวจสอบข้อเท็จจริงบริเวณหลังวัดจันทร์ลาดสุขสุวรรณ ปรากฏว่าพบน้ำที่อยู่ในบ่อบำบัดของโรงงานที่ยังบำบัดไม่เสร็จ เป็นน้ำเน่า ได้ไหลรั่วซึมออกจากบ่อ ลงสู่ลำคลอง ส่งกลิ่นเหม็นคลุ้งไปทั่วบริเวณจริงตามที่ได้รับการร้องเรียน จากมลพิษทางอากาศได้สร้างความเดือดร้อนให้กับพระสงฆ์สามเณรวัดจันทร์ลาดสุขสุวรรณ รวมทั้งโรงเรียน และชุมชน เป็นอย่างมาก ชาวบ้านที่ใช้น้ำในคลองชลประทานก็ได้รับความเดือดร้อนไปด้วยเช่นกัน

หลังจากลงพื้นที่ตรวจสอบบริเวณคลองชลประทานแล้วเสร็จผมจึงประสานไปยังบริษัทเพื่อให้นำพาเข้าไปตรวจสอบบ่อบำบัดต้นเหตุที่อยู่ภายในบริเวณของโรงงานดังกล่าว พบว่ามีกลิ่นเน่าเหม็นอย่างรุนแรง จนเข้าไปใกล้บ่อบำบัดไม่ได้ จากนั้นจึงเข้าประชุมหารือแนวทางในการแก้ไขปัญหาที่ห้องประชุมของทางบริษัท ซึ่งทางบริษัท ได้นำเสนอในที่ประชุมว่า ได้แก้ไขปัญหาอะไรไปบ้างแล้ว พร้อมกับสรุปขั้นตอนการแก้ไขปัญหาน้ำเน่าให้ผู้ที่เข้าร่วมประชุมให้ทราบใน 10 ขั้นตอน หลังจากดำเนินการแล้วเสร็จ วันที่ 15 ก.ค.67 จะนัดกันลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบอีกครั้งหนึ่งต่อไป

ปัญหาโรงงานปล่อยน้ำเน่าเสียลงในคลองชลประทาน ไม่ใช้พิ่งเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก แต่เกิดขึ้นมานานแล้ว โดยเมื่อวันที่ 22 ก.พ.67 ที่ผ่านมา ผมได้นำปัญหาดังกล่าวเข้าหารือในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 20 มาแล้วครั้งหนึ่ง ผมในฐานะเป็น สส.ในพื้นที่ จึงขอฝากไปถึงกระทรวงอุตสาหกรรม, กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งกระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ช่วยเร่งรัดให้ทางโรงงานแก้ไขปัญหาน้ำเน่าเสียเพื่อให้พี่น้องประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนกลับมาใช้ชีวิตตามปกติให้ได้โดยเร็ว

หลังจากที่นายยศวัฒน์ มาไพศาลสิน หรือ สส.กุ๊ก สส.จังหวัดกาญจนบุรี พรรคภูมิใจไทย เขต 3 กลับจากลงพื้นที่ตรวจสอบปัญหาข้างต้นแล้วเสร็จ ได้นำรูปภาพสภาพน้ำเน่าในคลองชลประทาน และภายในบ่อบำบัดน้ำเสียมาโพสต์ลงในเฟสบุ๊กส่วนตัว โดยได้ระบุว่า

“ปลายังตาย ควายยังไม่ยอมลงน้ำ นักเรียนยังเรียนในห้องเรียนไม่ได้ พระที่วัดบอกไม่ได้หลับไม่ได้นอน #แล้วชาวไร่ชาวนาจะอยู่กันอย่างไร วันนี้ผมพร้อมท่านนายอำเภอ//อุตสาหกรรมจังหวัด//และหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง #และตัวประชาชน ที่ได้รับความเดือดร้อน#จากน้ำเน่าเสียของโรงงานแห่งหนึ่งในตำบลบลอุโลกสี่หมื่นที่ส่งลงลำคลองระยะทางกว่า10กิโลเมตร จนถึงวัด+โรงเรียนจันลาด ต.หนองลาน#เข้าตรวจสอบและประชุมหาทางแก้ไข(ครั้งที่3)โดยหลังจากโพสต์ได้ไม่นานมีผู้เข้าไปแสดงความคิดเห็นถึงปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก

ข่าวภูมิภาคกาญจนบุรี / ปรีชา ไหลวารินทร์

สสจ.กาญจน์ ขับเคลื่อนกระบวนการพัฒนาคุรภาพขององค์กรยกระดับองค์กรมีคุณภาพ

กาญจนบุรี – สสจ.ขับเคลื่อนกระบวนการพัฒนาคุรภาพขององค์กรยกระดับองค์กรมีคุณภาพ และขอเชิญชวนพบหน่วยแพทย์เคลื่อนที่จิตอาสา วันอาทิตย์ ที่ 5 พฤษภาคม 2567 ที่ โรงเรียนเลาขวัญราษฎร์บำรุง อำเภอเลาขวัญ

ที่ห้องประชุมอาคารหลวงปู่หลิว สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดกาญจนบุรี นายแพทย์ปริพนท์ จุลเจิม นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดกาญจนบุรี มอบหมายให้นายแพทย์กฤษดา วุธยากร รองนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดกาญจนบุรี เป็นประธานเปิดการอบรมเชิงปฏิบัติการพัฒนาศักยภาพผู้รับผิดชอบงานพัฒนาคุณภาพโรงพยาบาล ประจำปี 2567 โดยการพัฒนาและรับรองคุณภาพโรงพยาบาลเป็นกลไกลกระตุ้นและส่งเสริมให้โรงพยาบาลมีการพัฒนาคุณภาพทั้งองค์กรอย่างมีระบบ โดยมีกิจกรรมหลัก 3 ขั้นตอน คือการพัฒนาคุณภาพ การประเมินคุณภาพ และการรับรองคุณภาพ ผู้ได้รับประโยชน์จาการพัฒนาคุณภาพของโรงพยาบาลคือ ผู้ป่วย เจ้าหน้าที่ และโรงพยาบาล ดังนั้นการพัฒนาระบบงานสำคัญที่ส่งผลต่อการขับเคลื่อนกระบวนการพัฒนาคุรภาพขององค์กรจะช่วยให้องค์กรมีระดับคุณภาพที่มุ่งสู่การบรรลุเป้าหมายคุณภาพความปลอดภัยเพิ่มขึ้น และมีความพร้อมสามารถรองรับระบบบริการที่มีคุณภาพได้สืบต่อไป

โครงการพาหมอไปหาประชาชนเฉลิมพระเกียรติฯ” เป็นหน่วยแพทย์เคลื่อนที่จิตอาสาในวันหยุดสุดสัปดาห์หรือวันหยุดนักขัตฤกษ์ บริการคัดกรองและตรวจรักษาโรคที่สำคัญ เพิ่มโอกาสให้ประชาชนในพื้นที่ห่างไกลได้เข้าถึงบริการทางการแพทย์เฉพาะทาง ออกหน่วยคัดกรอง ตรวจรักษาในกลุ่มโรคที่ยากและซับซ้อนระดับทุติยภูมิและตติยภูมิ พร้อมส่งต่อรักษายังโรงพยาบาลที่มีศักยภาพสูง

จึงขอเชิญชวนประชาชนเข้ารับบริการทางการแพทย์ในโครงการพาหมอไปหาประชาชนฯ ในวันอาทิตย์ ที่ 5 พฤษภาคม 2567 ที่ โรงเรียนเลาขวัญราษฎร์บำรุง อำเภอเลาขวัญ จังหวัดกาญจนบุรี จัดบริการ 21 คลินิกเฉพาะทาง ได้แก่ คลินิกมะเร็งปากมดลูก คลินิกมะเร็งลำไส้ คลินิกโรคผิวหนัง คลินิกมะเร็งตับ คลินิกจิตเวชและยาเสพติด คลินิกหู คอ จมูก คลินิกชันสูตร(นิติเวช) คลินิกอาชีวเวชกรรม คลินิกเทคนิคการแพทย์ คลินิกผ่าตัดไส้เลื่อน(ODS) คลินิกกระดูกและข้อ คลินิกกายภาพบำบัด คลินิกแพทย์แผนไทย คลินิกแพทย์แผนจีน คลินิกโรคหัวใจ คลินิกจักษุ คลินิกส่งเสริมพัฒนาการเด็ก คลินิกทันตกรรม คลินิกปฐมภูมิ(ตรวจโรคทั่วไป) คลินิกมะเร็งเต้านม คลินิกคัดกรองวัณโรคตรวจสมรรถนะปอด ให้บริการตรวจคัดกรอง รักษา และส่งต่อ ไปยังสถานพยาบาลในเครือข่าย โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย สามารถติดต่อเข้ารับบริการได้ตั้งแต่บัดนี้ไปจนถึงวันที่ 5 พฤษภาคม 2567 ที่โรงพยาบาลเลาขวัญ หรือโรงพยาบาลใกล้เคียง โทร. 034-576050 หรือ 086-3272327

ข่าวภูมิภาคกาญจนบุรี / ปรีชา ไหลวารินทร์

สสจ.กาญจน์ ขับเคลื่อนกระบวนการพัฒนาคุรภาพขององค์กรยกระดับองค์กรมีคุณภาพ

กาญจนบุรี – สสจ.ขับเคลื่อนกระบวนการพัฒนาคุรภาพขององค์กรยกระดับองค์กรมีคุณภาพ และขอเชิญชวนพบหน่วยแพทย์เคลื่อนที่จิตอาสา วันอาทิตย์ ที่ 5 พฤษภาคม 2567 ที่ โรงเรียนเลาขวัญราษฎร์บำรุง อำเภอเลาขวัญ

ที่ห้องประชุมอาคารหลวงปู่หลิว สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดกาญจนบุรี นายแพทย์ปริพนท์ จุลเจิม นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดกาญจนบุรี มอบหมายให้นายแพทย์กฤษดา วุธยากร รองนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดกาญจนบุรี เป็นประธานเปิดการอบรมเชิงปฏิบัติการพัฒนาศักยภาพผู้รับผิดชอบงานพัฒนาคุณภาพโรงพยาบาล ประจำปี 2567 โดยการพัฒนาและรับรองคุณภาพโรงพยาบาลเป็นกลไกลกระตุ้นและส่งเสริมให้โรงพยาบาลมีการพัฒนาคุณภาพทั้งองค์กรอย่างมีระบบ โดยมีกิจกรรมหลัก 3 ขั้นตอน คือการพัฒนาคุณภาพ การประเมินคุณภาพ และการรับรองคุณภาพ ผู้ได้รับประโยชน์จาการพัฒนาคุณภาพของโรงพยาบาลคือ ผู้ป่วย เจ้าหน้าที่ และโรงพยาบาล ดังนั้นการพัฒนาระบบงานสำคัญที่ส่งผลต่อการขับเคลื่อนกระบวนการพัฒนาคุรภาพขององค์กรจะช่วยให้องค์กรมีระดับคุณภาพที่มุ่งสู่การบรรลุเป้าหมายคุณภาพความปลอดภัยเพิ่มขึ้น และมีความพร้อมสามารถรองรับระบบบริการที่มีคุณภาพได้สืบต่อไป

โครงการพาหมอไปหาประชาชนเฉลิมพระเกียรติฯ” เป็นหน่วยแพทย์เคลื่อนที่จิตอาสาในวันหยุดสุดสัปดาห์หรือวันหยุดนักขัตฤกษ์ บริการคัดกรองและตรวจรักษาโรคที่สำคัญ เพิ่มโอกาสให้ประชาชนในพื้นที่ห่างไกลได้เข้าถึงบริการทางการแพทย์เฉพาะทาง ออกหน่วยคัดกรอง ตรวจรักษาในกลุ่มโรคที่ยากและซับซ้อนระดับทุติยภูมิและตติยภูมิ พร้อมส่งต่อรักษายังโรงพยาบาลที่มีศักยภาพสูง

จึงขอเชิญชวนประชาชนเข้ารับบริการทางการแพทย์ในโครงการพาหมอไปหาประชาชนฯ ในวันอาทิตย์ ที่ 5 พฤษภาคม 2567 ที่ โรงเรียนเลาขวัญราษฎร์บำรุง อำเภอเลาขวัญ จังหวัดกาญจนบุรี จัดบริการ 21 คลินิกเฉพาะทาง ได้แก่ คลินิกมะเร็งปากมดลูก คลินิกมะเร็งลำไส้ คลินิกโรคผิวหนัง คลินิกมะเร็งตับ คลินิกจิตเวชและยาเสพติด คลินิกหู คอ จมูก คลินิกชันสูตร(นิติเวช) คลินิกอาชีวเวชกรรม คลินิกเทคนิคการแพทย์ คลินิกผ่าตัดไส้เลื่อน(ODS) คลินิกกระดูกและข้อ คลินิกกายภาพบำบัด คลินิกแพทย์แผนไทย คลินิกแพทย์แผนจีน คลินิกโรคหัวใจ คลินิกจักษุ คลินิกส่งเสริมพัฒนาการเด็ก คลินิกทันตกรรม คลินิกปฐมภูมิ(ตรวจโรคทั่วไป) คลินิกมะเร็งเต้านม คลินิกคัดกรองวัณโรคตรวจสมรรถนะปอด ให้บริการตรวจคัดกรอง รักษา และส่งต่อ ไปยังสถานพยาบาลในเครือข่าย โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย สามารถติดต่อเข้ารับบริการได้ตั้งแต่บัดนี้ไปจนถึงวันที่ 5 พฤษภาคม 2567 ที่โรงพยาบาลเลาขวัญ หรือโรงพยาบาลใกล้เคียง โทร. 034-576050 หรือ 086-3272327

ข่าวภูมิภาคกาญจนบุรี / ปรีชา ไหลวารินทร์

ผ้าป่ามหากุศลผู้ใจบุญบริจาค รถพยาบาลให้กับเทศบาลตำบลหนองบัว นำไปใช้ปรโยชน์ดูแลชาวบ้าน

กาญจนบุรี – ผ้าป่ามหากุศลผู้ใจบุญบริจาค รถพยาบาลและที่ดินให้กับเทศบาลตำบลหนองบัว นำไปใช้ปรโยชน์ดูแลชาวบ้านและพัฒนาพื้นที่เป็นสาธารณะประโยชน์

ที่สำนักงานเทศบาลตำบลหนองบัว อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี ได้มีพิธีส่งมอบรถพยาบาล และมอบที่ดินให้กับเทศบาลตำบลหนองบัว นำไปใช้ประโยชน์สูงสุดในการดูแลสารทุกข์สุขดิบประชาชน และนำที่ดินไปพัฒนาเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะชน นำโดย นางกมลพิศ คงแถวทอง อายุ 70 ปี และครอบครัว บริจาครถพยาบาลพร้อมอุปกรณ์ติดตั้งภายในรถ รวมมูลค่า 1,949,000 บาท นายกฤษฏา สืบพงษ์ อายุ 75 ปี และครอบครัว บริจาคที่ดิน น.ส.3 ทะเบียนเล่ม (1)8หน้า 50 สารบบเล่ม 35 หนาที่ 1 เนื้อที่ประมาณ 3 งาน 41 ตารางวา หมู่ 2 ต.หนองบัว อ.เมือง จ.กาญจนบุรี โดยมี นายสรรญา ชันเจริญ นายกเทศมนตรีตำบลหนองบัว พร้อมคณะบริหาร สมาชิกสภาฯ ผู้นำชุมชน ฝ่ายปกครอง ข้าราชการ รพ.สต.หนองบัว พนักงานลูกจ้าง ร่วมให้ต้อนรับและรับมอบอย่างพร้อมเพรียงกัน

คณะผู้บริจาครถพยาบาลได้ตรวจดูความพร้อมของรถพยาบาลคันดังกล่าวที่ซื้อป้ายแดงมือหนึ่งแล้วนำไปตกแต่งรอบคัน และติดตั้งอุปกรณ์กู้ชีพครบครัน ระบบพยุงชีพ ถังอ๊อกซิเจนแบบติดตั้งและเคลื่อนที่ เครื่องกระตุกหัวใจ (AED) กระเป๋าพยาบาล ระบบวิทยุสื่อสาร สัญญาณแสงและเสียงไซเรน โดยคณะขึ้นไปนั่งบนรถพยาบาลชื่นชมด้วยรอยยิ้มปลื้มปริ่มใจ

จากนั้นได้มีพิธีลงนามเป็นลายลักษณ์อักษรในการส่งมอบรถพยาบาลและที่ดินอย่างเป็นทางการ ตามระเบียบราชการ โดยนายกเทศมนตรีฯ ได้มอบเกียรติบัตร พร้อมพระบูชาหลวงปู่ยิ้มหลวงปู่เหรียญ เนื้อทองเหลืองปัดเงา ขนาด 5 นิ้ว คณะละ 1 ชุดแทนคำขอบคุณจากเทศบาลตำบลหนองบัว พร้อมเป็นตัวแทนกล่าวขอบคุณผู้ใจบุญทั้งสองครอบครัว

นางกลมพิศ คงแถวทอง อายุ 70 ปี เปิดเผยว่า ที่จริงในช่วง 2-3 ปี ที่ผ่านมา ด้วยประสบการณ์และที่ได้ใช้รถแอมเบอแลนแล้วเรียกรถอะไรอย่างเนี้ย มีความคิดว่าถ้าตำบลเรานี้มีรถคันนี้อยู่ในตำบลก็จะเร็วขึ้น การที่จะรับคนไปโรงพยาบาลจะได้เร็วขึ้น ก็เลยคิดว่าเอ่อถ้ามีเงินก็อยากจะบริจาคให้เทศบาลก็เลยติดต่อเทศบาล เราก็โดยกฏหมายใช้ในเขตเทศบาลก็ขอให้ทางเทศบาลให้บริการทั้งตำบลเพราะว่าถืออยู่ใกล้ชิดกัน เหมือนรถดัยเพลิงก็ดูแลทั้งตำบล ก็จะได้ใช้บริการทั้งตำบลเหมือนกันค่ะ ภูมิใจมากค่ะไม่คิดว่าจะต้อนรับกันขนาดนี้ดีใจมากคะ

ทางด้าน นายกฤษฏา สืบพงษ์ อายุ 75 ปี กล่าวว่า มอบที่ดินครับ อันที่จริงส่วนใหญ่ประชาชนก็ใช้ไปแล้วหล่ะใช้ไปตั้งนานแล้ว แต่มาทำเอกสารให้ถูกต้องตรวตามข้อเท็จจริง ก็จะมีที่ดินอีกนิดที่ยังมีเป็นปัญหากับที่ดินข้างเคียงให้รางวัดแนวเขตให้แน่นอน ก็จะได้ปักว่าเป็นที่หลวง จะได้ไม่ต้องมาเถียงกัน อันที่จริงก็ควรมีที่ปรึกษาก็จะดีกว่าคิดเองเออเองเพราะถ้าเองคนเดียวก็จะไม่เห็นด้นลบ ก็ยินดีเป็นที่ปรึกษาให้แต่ไม่ต้องมาแต่งตั้งอย่างเป็นทางการหรอกครับ เป็นราชการเกินไปให้คำปรึกษาใส่วิธีคิดกับนายกงานเดิมก็ทำดีอยู่แล้วครับ.

ข่าวภูมิภาคกาญจนบุรี / ปรีชา ไหลวารินทร์

กาญจนบุรี – ตาวัย 80 ปีหึงหวงเมียยิงลูกจ้างดับ

กาญจนบุรี – คุณตาวัย 80 ปีหึงหวงเมียยิงลูกจ้างดับ อ้างป้องกันตัวคนตายท้าทายจะเข้ามาทำร้าย จึงยิงใส่ไปหนึ่งนัด

วันนี้ 1 พฤษภาคม 2567  ร.ต.อ.กิตติภพ รองสารวัตรสอบสวน สภ.ท่าม่วง รับแจ้งเหตุมีผู้ถูกยิงกันได้รับบาดเจ็บสาหัส ที่บ้านเลขที่ 266/1 หมู่ 6 ต.วังขนาย อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี จึงรายงาน พ.ต.อ.พิทักษ์ ว่องพานิช ผกก.สภ.ท่าม่วง ไปตรวจสอบพร้อม พ.ต.ท.กฤตย์ วงษ์ศรีเมือง รอง ผกก.ป.สภ.พนมทวน, พ.ต.ท.วิศรุต อ้นมี รอง ผกก.สส.สภ.ท่าม่วง, พ.ต.ท.ธีรพงษ์ บุญชูวงษ์ รอง ผกก.สอบสวน สภ.ท่าม่วง, พ.ต.ต.นิรัญ พั่วพันศรี สว.สส.สภ.ท่าม่วง นำชุดสืบสวนลงพื้นที่ ประสานมูลนิธิขุนรัตนาวุธ ทำการซีพีอาร์ผู้ถูกยิงแต่ไม่เป็นผลเสียชีวิตในเวลาต่อมา ส่วนผู้ก่อเหตุนั่งเปลรอในที่เกิดเหตุจึงควบคุมตัวไว้สอบสวนทันที

ทางด้าน พล.ต.ต.นครินทร์ สุคนธวิท ผบก.ภ.จว.กาญจนบุรี ได้ให้ จนท.ตำรวจพิสูจน์หลักฐานกาญจนบุรี ตรวจสอบเก็บพยานวัตถุไว้เป็นหลักฐาน โดยมี นายนพพล สุกิจปาณีนิจ นายอำเภอท่าม่วง มอบให้ นายวัชร รุ่งโรจน์วนิชย์ ปลัดป้องกันอำเภอท่าม่วง แพทย์เวร รพ.สมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 19 มาร่วมตรวจสอบ

ที่เกิดเหตุเป็นสวนมมะม่วง มีทางเข้ามา 200 เมตรพบเป็นลานหน้าบ้านมีโรงจอดซ่อมรถ มีบ้านปูนชั้นเดียวหนึ่งหลัง มีบ้านห้องแถวพักคนงาน และพบศพ นายฉลอง ลาดหนองขุ่น อายุ 53 ปี ที่อยู่บ้านหลังที่เกิดเหตุ นอนหงายเสียชีวิตที่มุมเสาโรงจอดรถ สภาพศพถูกยิงที่เหนือหัวนมอกด้านซ้าย สวมเสื้อโปโลสีม่วง นุ่งกางเกงยีนส์ขายาวสีดำ สวมรองเท้าผ้าใบสีแดง โดยมี น.ส.วงเดือน หารไกล อายุ 56 ปี อาศัยอยู่บ้านที่เกิดเหตุ เป็นภรรยาของผู้ตายนั่งอยู่ข้างศพ โดยเล่าเหตุการณ์วกวนจับใจความไม่ได้เลย

ส่วนผู้ก่อเหตุเป็นเถ้าแก่ทราบชื่อคือ นายมงคล กาญจนไตรภพ อายุ 80 ปี เจ้าของบ้านและนายจ้างของคนตาย นั่งเปลรอในที่เกิดเหตุพร้อมอาวุธปืนพกขนาด 11 มม.พร้อมแม็กกาซีน ที่เก็บไว้ในกระเป๋าคาดเอว และพบปลอกกระสุนปืนขนาด 11 มม.ตกอยู่ในกระติกน้ำ จึงเก็บไว้ตรวจสอบ ยังมีถุงยารักษาโรคจำนวนหนึ่ง

จากการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจเบื้องต้นทราบว่า ผู้ก่อเหตุเป็นเถ้าแก่นายจ้างของผู้เสียชีวิต ทำงานอยู่ด้วยกันมา นานพอสมควร มีทะเลาะมีปากเสียงกันบ้าง ส่วนสาเหตุ จะนำตัวคุณตาไปสอบสวนรายละเอียดอีกครั้งหนึ่ง ส่วนศพของผู้เสียชีวิตนำส่งผ่านโรงพยาบาลศูนย์นิติเวชจังหวัดราชบุรี เพื่อนำเอกสารมาประกอบจำนวนคดีเพื่อจะดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไปโดยเบื้องต้นให้แจ้งข้อหาถ้าผู้อื่นโดยเจตนา และ พรบ.อาวุธปืน ส่งตัวคุณตาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

ข่าวภูมิภาคกาญจนบุรี / ปรีชา ไหลวารินทร์

เทศบาลเมืองราชบุรี จัดวิ่งเพื่อสุขภาพและสังคม “ เมืองราชบุรี 10 and 5K ” รอบเมืองราชชบุรี


เทศบาลเมืองราชบุรี เตรียมจัดกิจกรรมเพื่อสุขภาพและสังคม “ เมืองราชบุรี 10 and 5K ” งานวิ่งถนนระยะมาตรฐานสากล ระยะ 5 และ 10 กิโลเมตร รอบเมืองราชบุรี

วันที่อ2 พ.ค. 67  นายศักดิ์ชัย พิศาลผล นายกเทศมนตรีเมืองราชบุรี กล่าวว่า เทศบาลเมืองราชบุรี เตรียมจัดกิจกรรมเพื่อสุขภาพและสังคม “ เมืองราชบุรี 10 and 5K ” งานวิ่งถนนระยะมาตรฐานสากล ระยะ 5 และ 10 กิโลเมตร รอบเมืองราชบุรี โดยมีการประสานงานกับ พ.ต.ท.ต้องชนะ อารีมิตร รอง ผกก.ป.สภ.เมืองราชบุรี ผู้แทนผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดราชบุรี นายสินาด รุ่งจรุญ นายกเทศมนตรีตำบลหลักเมือง นายกสมาคมกีฬาแห่งจังหวัดราชบุรี นางกาญจน์กุระ ฮัยสคาเนน ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดราชบุรี และนายจักรกฤษณ์ วันเต็ม ผู้บริหาร บริษัท ใฝ่ดี คิดดี จำกัด ร่วมแถลงถึงการจัดกิจกรรมเพื่อสุขภาพและสังคม “ เมืองราชบุรี 10 and 5K ” งานวิ่งถนนระยะมาตรฐานสากล ระยะ 10 และ 5 กิโลเมตร ของจังหวัดราชบุรี ที่บริเวณโอ่งมังกรพ่นน้ำ ริมเขื่อนรัฐประชาพัฒนา อ.เมือง จ.ราชบุรี

ซึ่งจัดให้มีขึ้นในวันที่ 2 มิถุนายน 2567 สำหรับกิจกรรมเพื่อสุขภาพและสังคม “ เมืองราชบุรี 10 and 5K” งานวิ่งถนนระยะมาตรฐานสากล ระยะ 5 และ 10 กิโลเมตร เป็นการร่วมมือภาคีเครือข่ายทั้งภาครัฐและเอกชน บูรณาการทำงานร่วมกัน ประกอบด้วย เทศบาลเมืองราชบุรี กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดราชบุรี สมาคมกีฬากรีฑาแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูอุปถัมภ์ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดราชบุรี และบริษัทใฝ่ดี คิดดี จำกัด

   โดยเป็นแนวคิดของนายศักดิ์ชัย พิศาลผล นายกเทศมนตรีเมืองราชบุรี ที่ต้องการจัดงานวิ่งชมเมืองราชบุรี ประกอบกับทางนายสินาด รุ่งจรูญ นายกเทศมนตรีตำบลหลักเมือง ในฐานะนายกสมาคมกีฬาแห่งจังหวัดราชบุรี เห็นด้วย จึงได้กำหนดจัดกิจกรรมขึ้นทางเทศบาลเมืองได้สำรวจเส้นทางที่เหมาะกับการวิ่ง ต้องการเส้นทางที่มีความสวยงาม และมีความปลอดภัย ผ่านการรับรองมาตรฐานของสมาคมกีฬากรีฑาแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ที่สำคัญกิจกรรมนี้ยังเป็นกิจกรรมเพื่อสังคม

โดยรายได้ส่วนหนึ่งจากการจัดกิจกรรม มอบให้โรงพยาบาลราชบุรี เพื่อจัดซื้อครุภัณฑ์ และเครื่องมือแพทย์ นอกจากนั้น กิจกรรมนี้ยังส่งเสริมทางด้านกีฬา การออกกำลังกาย เพื่อสุขภาพพลานามัยที่ดีของพี่น้องประชาชน เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของเมืองราชบุรีอีกด้วย
ดังนั้น จึงขอเชิญชวนประชาชน สมัครเข้าร่วมกิจกรรมงานวิ่งชมเมืองราชบุรี 10 and 5 K งานวิ่งถนระยะมาตรฐานสากล ระยะ 10 และ 5 กิโลเมตร ของ จ.ราชบุรี ได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปถึงวันที่ 10 พฤษภาคม 2567 สมัครด้วยตัวเอง ณ สำนักงานเทศบาลเมืองราชบุรีชั้นล่าง หรือสมัครทางออนไลน์ได้

พันธุ์ – จรรยา แก้วนุ้ย จ.ราชบุรี

อุทยานการอาชีพชัยพัฒนานครปฐม เปิดอบรม “ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เพิ่มความสุข ลดความทุกข์ฯ

เมื่อวันพุธที่ 1 พฤษภาคม 2567 ที่โครงการอุทยานการอาชีพชัยพัฒนา จังหวัดนครปฐม ร่วมกับนายกสมาคมไทยอเมริกันและเจ้าของสถานที่วิสาหกิจชุมชนบ้านมิตรชาวนาไผ่หูช้าง อำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม

  นายต่อพงศ์ วัจนะสวัสดิ์ ได้จัดให้มีการบรรยายพิเศษ เรื่อง “ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เพิ่มความสุข ลดความทุกข์ สร้างรายได้อย่างยั่งยืนให้ชีวิตได้อย่างไร?”

โดยมีศาสตราจารย์เกียรติคุณนายแพทย์เกษม วัฒนชัย องคมนตรี เป็นวิทยากรบรรยาย ในครั้งนี้

  โดยมีนายอรรถวุฒิ พึ่งเนียม รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม และนายอนิรุธ สุขจิตต์ ผู้จัดการโครงการอุทยานการอาชีพชัยพัฒนา จังหวัดนครปฐม ให้การต้อนรับ

และมีบุคลากร หน่วยงานภาครัฐ เอกชน และกลุ่มเกษตรกรพร้อมประชาชนทั่วไป เข้าร่วมฟังบรรยายในครั้งนี้ ณ อาคารพัฒนวิชาคาร อุทยานการอาชีพชัยพัฒนา จังหวัดนครปฐม

ผู้ว่าฯ กาญจนบุรี สั่งฝ่ายปกครอง-ตำรวจ ลุยจับบ่อนไก่บ่อพลอย

กาญจนบุรี – หนีกันกระเจิงนักพนันร่วมร้อย หลังผู้ว่าฯสั่งฝ่ายปกครอง-ตร.บ่อพลอย ลุยจับ สุดท้ายรวบได้ 10 คน ไก่ชน 5 ตัว

วันนี้ 30 เม.ย.67 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ร้อยโททศพล ไชยโกมินทร์ ผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี นายรณภพ เวียงสิมมา รองผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี นายฑรัท เหลืองสอาด ปลัดจังหวัดกาญจนบุรี นายอนันท์ชัย ทองสีนุช ป้องกันจังหวัดกาญจนบุรี พบเพจเฟสบุ๊กเชิญชวนให้นักพนันไปเล่นพนันไก่ชนพร้อมกันที่สังเวียนไก่ชนแห่งหนึ่งในท้องที่หมู่ 1 ต.ช่องด่าน อ.บ่อพลอย จ.กาญจนบุรี จากนั้นจึงสั่งการให้นายสุวัฒนา ม่วงหวาน ผู้ช่วยป้องกันจังหวัดกาญจนบุรี นำกำลังเจ้าหน้าที่ ร้อย อส.จ.กาญจนบุรี ที่ 1 นายสุรสิทธิ์ จันอุทา นายอำเภอบ่อพลอย พ.ต.อ.จอมพล รุจิรดำรงค์ชัย ผกก.สภ.บ่อพลอย พ.ต.ท.ชนิตร วิโรจน์ศิริ รอง ผกก.ป.สภ.บ่อพลอย นายชวโรจน์ มากแก้ว ปลัดอาวุโส อำเภอบ่อพลอย ประชุมวางแผนนำกำลังเข้าจับกุม

จนกระทั่งเจ้าหน้าที่ก็เดินทางไปถึง พบว่าสังเวียนไก่ชนอยู่หลังบ้านเลขที่ 399/4 หมู่ 1 ต.ช่องด่าน อ.บ่อพลอย จากการสังเกตพบว่าบริเวณโดยรอบบ้านหลังดังกล่าวมีการนำเต้นท์มาติดตั้งกันแดดรวมทั้งมีโรงหลังคาอยู่ในพื้นที่ที่กว้างขวาง ส่วนพื้นได้นำดินและหินมาถมสูง 3-4 เมตร โดยนำก้อนหินขนาดใหญ่มาวางเรียงรายเพื่อป้องกันดินถล่ม ส่วนบริเวณโดยรอบบ่อนไก่เป็นป่าละเมาะ

ระหว่างที่นักพนันทั้งชายหญิงร่วม 100 คน กำลังส่งเสียงเชียร์กันชนกันอย่างสนุกสนาน เจ้าหน้าที่จึงส่งสัญญาณพร้อมกับวิ่งกรูเข้าไปเพื่อจับกุม แต่หลังจากที่นักพนันเห็นเจ้าหน้าที่จึงได้พร้อมใจกันวิ่งหลบหนีไปทางด้านหลังบ่อนที่ชันประมาณ 3-4 เมตรแล้วหลบหนีเข้าไปในป่าละเมาะอย่างไม่คิดชีวิต เมื่อเจ้าหน้าที่เห็นก็ได้แต่ห่วงว่าจะเกิดอุบัติล้มแขนหักขาหัก เพราะนักพนันบางรายที่กำลังวิ่งหลบหนีนั้นมีอายุมากแล้ว จากสภาพโดยรอบของบ่อนไก่ ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องวิ่งจับกุมตัวด้วยความยากลำบาก สุดท้ายสามารถจับกุมตัวได้ จำนวน 10 คน เป็นชาย 8 คน หญิง 2 คน ซึ่ง 1 ใน 10 คน มีนางไพวรรณ (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 56 ปี รับเป็นเจ้าของบ่อนไก่

โดยเจ้าหน้าที่สามารถตรวจยึดของกลางเอาไว้ได้หลายรายการ ประกอบด้วย สังเวียนไก่ 1 สังเวียน ไก่ชนตัวผู้ 5 ตัว สุ่มไก่ 6 สุ่ม นาฬิกาจับเวลา 1 เรือน สมุดจดรายละเอียดเงินพนัน 8 เล่ม สมุดเล่มเล็ก 96 เล่ม ปากกาไวท์บอร์ด 2 ด้าม ปากกาลูกลื่น 7 ด้าม แผ่นป้ายไวนิลระบุวันแข่งขัน 9 แผ่น และชุดยาไก่ชน 5 กล่อง

จากนั้นเจ้าหน้าที่จึงนำตัวผู้ต้องหาทั้ง 10 ราย มาสอบปากคำเพิ่งเติมที่ที่ว่าการอำเภอบ่อพลอบ ก่อนที่จะนำตัวผู้ต้องหาส่งพนักงานสอบสวน สภ.บ่อพลอยดำเนินคดีตามกฎหมาย โดยนางไพวรรณ (ขอสงวนนามสกุล) ยอมรับสารภาพว่าเป็นเจ้าสำนัก จึงถูกดำเนินคดีในข้อกล่าวหา “เป็นเจ้าสำนักจัดให้มีการเล่นการพนันชนไก่พนันเอาทรัพย์สินกัน โดยไม่ได้รับอนุญาต ร่วมกันลักลอบเล่นการพนันชนไก่ พนันเอาทรัพย์สินกันโดยไม่ได้รับอนุญาต ส่วนผู้ต้องหาอีก 9 คนถูกดำเนินคดีในข้อกล่าวหา “ร่วมกันลักลอบเล่นการพนันชนไก่ พนันเอาทรัพย์สินกันโดยไม่ได้รับอนุญาต”


ข่าวภูมิภาคกาญจนบุรี / ปรีชา ไหลวารินทร์

ชาวกำแพงแสน ร่วมแสดงความคิดเห็นโครงการเผาขยะเป็นพลังงานไฟฟ้า

ชาวอำเภอกำแพงแสน  4 ตำบลร่วมแสดงความคิดเห็นโครงการเผาขยะเป็นพลังงานไฟฟ้า

นายยงยุทธ สวนทอง รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม

วันที่ 30 เมษายน 2567 ที่ห้องประชุมแสนปาล์ม คอนเวนชั่น ฮอลล์ โรงแรมแสนปาล์ม อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม นายยงยุทธ สวนทอง รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม เป็นประธานเปิดการประชุมรับฟังความคิดเห็นและทำความเข้าใจกับประชาชน และผู้มีส่วนได้เสีย โครงการกำจัดมูลฝอยด้วยระบบเผาเพื่อผลิตพลังงานไฟฟ้า ขนาด 9.9 เมกะวัตต์ ของบริษัท วัสดุภัณฑ์ธุรกิจ จำกัด ตั้งอยู่ที่หมู่2 ตำบลทุ่งบัว อ.กำแพงแสน ที่เป็นการนำเทคโนโลยีการจัดการมูลฝอย ด้วยวิธีการเผาไหม้ในเตาเผา นอกจากจะมีประสิทธิภาพในการกำจัดขยะสูงแล้วยังสามารถบรรจุขยะได้ในปริมาณมากไม่ต้องใช้พื้นที่ขนาดใหญ่ในการดำเนินโครงการ และยังได้พลังงานในรูปแบบกระแสไฟฟ้ากลับมาใช้ประโยชน์ เป็นการส่งเสริมการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด

ซึ่งพลังงานไฟฟ้าที่ได้จะนำไปจำหน่ายให้กับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ) ภายใต้โครงการประเภทโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนที่ใช้ขยะมูลฝอยเป็นเชื้อเพลิง ที่มีกำลังผลิตกระแสไฟฟ้าติดตั้ง ต่ำกว่า10 เมกะวัตต์ ตามระเบียบคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน

ว่าด้วยหลักเกณฑ์การจัดการรายงานประมวลหลักการปฏิบัติและรายงานผลการปฎิบัติามหลักการปฎิบัติสำหรับการประกอบกิจการผลิตไฟฟ้า พ.ศ.2565 และระเบียบว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นและทำความเข้าใจกับประชาชนและผู้มีส่วนได้เสียในการพิจารณาออกไปอนุญาตประกอบกิจการผลิตไฟฟ้าพ.ศ. 2565 กำหนดให้โรงไฟฟ้าประเภทเผาไม่เชื้อเพลิงที่มีกำลังการผลิตติดตั้งมากกว่า 3 เมกะวัตต์แต่ไม่ถึง 10 เมกะวัตต์กำหนดให้มีพื้นที่ในการดำเนินการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนรัศมีอย่างน้อย 3 กิโลเมตรจากขอบเขตพื้นที่ตั้งโครงการซึ่งครอบคลุมพื้นที่บางส่วนของตำบลทุ่งบัว,ตำบลสระสี่มุม,ตำบลกำแพงแสน และตำบลรางพิกุล,อำเภอกำแพงแสน ให้ความเห็นชอบ

  นายวงศ์อัคคินท์ แสงสุวรรณ ผู้ชำนาญการด้านสิ่งแวดล้อม บริษัท ทีแอลที คอนซัลแตนส์ จำกัด (TLT) กล่าวว่าการประชุมในวันนี้เพื่อนำเสนอรายละเอียดโครงการ ร่างผลการศึกษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมและการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม ร่างมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และร่างมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งรับฟังความคิดเห็นและข้อห่วงกังวลของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างรอบด้าน ตามระเบียบคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน ว่าด้วยการรับฟังความเห็นและทำความเข้าใจกับประชาชนและผู้มีส่วนได้เสียในการพิจารณาออกใบอนุญาตประกอบกิจการผลิตไฟฟ้า พ.ศ. 2565 กำหนดให้โรงไฟฟ้าประเภทเผาไหม้เชื้อเพลิงที่มีกำลังการผลิตติดตั้งมากกว่า 3 เมกะวัตต์ แต่ไม่ถึง 10 เมกะวัตต์ ซึ่งบริษัท ทีแอลที คอนซัลแตนส์ จำกัด (TLT) เป็นผู้ดำเนินการศึกษาและจัดทำรายงานประมวลหลักการปฏิบัติ (CoP) รวมทั้งดำเนินการรับฟังความเห็นและทำความเข้าใจกับประชาชนและผู้มีส่วนได้เสีย

ด้านนายยงยุทธ สวนทอง รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม กล่าวว่า โครงการกำจัดมูลฝอยด้วยระบบเผาเพื่อผลิตพลังงานไฟฟ้า ขนาด 9.9 เมกะวัตต์ ของบริษัท วัสดุภัณฑ์ธุรกิจ จำกัดนี้เป็นการรวมตัวกันของท้องถิ่นในจังหวัด มีเทศบาลเมืองสามพราน เป็นเจ้าภาพ เนื่องจากอำเภอสามพราน เป็นพื้นที่ที่มีจำนวนขยะมูลฝอยรวมกันมากกว่า 500 ตันต่อวัน (ไซด์ L) และพื้นที่อื่น เว้นเทศบาลนครนครปฐม กำจัดเอง ทต.โพรงมะเดื่อ นำไปกำจัดที่ จ.ราชบุรี และพุทธมณฑล ที่นำไปกำจัดที่จ.สมุทรสาคร โครงการนี้จะเป็นประโยชน์ในเรื่องของการกำจัดขยะ ความสะอาดของบ้านเมือง และสิ่งแวดล้อมที่ดี

ชาวบ้านตำบลทุ่งบัว กล่าวว่า ได้รับทราบข้อมูลเรื่องผลกระทบ และรวมถึงสิ่งที่ได้ รับว่าที่ผ่านมาเห็นการฝังกลบ มาวันนี้ได้เห็นกระบวนการเผา เพื่อได้พลังงานไฟฟ้ากลับมาขายให้การไฟฟ้า และ ใช้พื้นที่น้อยกว่าเดิม เราก็ว่าดีนะ และที่สำคัญเงินกองทุนที่ได้จากการขายไฟให้การไฟฟ้า ได้กลับมาพัฒนา ท้องถิ่น ด้านสาธารณูปโภค และการศึกษา

ภาพ-ข่าว ทวีพล หลิมชัยสุวรรณ

บิ๊กเลน”พล.อ.ชินวัฒน์ ไร้คู่แข่ง นั่งนายกฯ กีฬา กาญจนฯ ต่ออีกสมัย 4 ปี

กาญจนบุรี – บิ๊กเลน”พล.อ.ชินวัฒน์ ไร้คู่แข่งชิงประมุขกีฬากาญจนบุรี นั่งนายกฯ ต่ออีกสมัย 4 ปี ย้ำจะพัฒนากีฬา

    ที่ห้องประชุมกัลปพฤกษ์โรงเรียนกาญจนานุเคราะห์ อำเภอเมือง จังหวัดกาญ จนบุรี สมาคมกีฬาแห่งจังหวัดกาญจนบุรี ได้จัดการประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2566 เพื่อเลือกตั้งนายกสมาคมกีฬาแห่งจังหวัดกาญจนบุรี คนใหม่ แทนตำแหน่งที่ว่างลงในวาระการดำรงตำแหน่ง ปี2567-2571 โดย พล.อ.ดร.ชินวัตน์ แม้นเดช รักษาการนายกสมาคมกีฬาแห่งจังหวัดกาญจนบุรี ประธานในที่ประชุมและกล่าวเปิดในการประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2566 ของสมาคมกีฬาแห่งจังหวัดกาญจนบุรี ดร.ณรินทร์ ชำนาญดู เลขาธิการสมาคมกีฬาแห่งจังหวัดกาญจนบุรี ทำหน้าที่ดำเนินการประชุม พร้อมด้วยนายเจิดศักดิ์ เอี่ยมปาน เหรัญญิกสมาคม และผศ.ดร.อานนท์ วันลา อุปนายกสมาคม ร่วมประชุม

โดยมีนายชูศักดิ์ แม้นทิม สส.กาญจนบุรี เขต 2 ในฐานะประธานชมรมกีฬาฟุตบอลจังหวัดกาญจนบุรี เป็นประธานในการเลือกตั้งชั่วคราว พร้อมด้วยประธานชมรมกีฬาที่สังกัดสมาคมกีฬาแห่งจังหวัดกาญจนบุรี เข้ามาร่วมในการคัดเลือก และผู้แทนการกีฬาแห่งประเทศไทยจังหวัดกาญจนบุรี มาร่วมในการคัดเลือกครั้งนี้ ในการประชุมใหญ่สามัญของสมาคมกีฬาแห่งจังหวัดกาญจนบุรี

สำหรับการเลือกตั้งนายกสมาคมกีฬาแห่งจังหวัดกาญจนบุรี ที่ว่างลงปรากฏว่ามีผู้เสนอชื่อ พล.อ.ดร.ชินวัฒน์ แม้นเดช เพียงคนเดียว ประธานในที่ประชุมขอเสียงจากสมาชิกสมาคมกีฬาแห่งจังหวัดกาญจนบุรี ที่ร่วมกันยกมือสนับสนุน ให้พล.อ.ดร.ชินวัฒน์ แม้นเดช เป็นนายกสมาคมกีฬาแห่งจังหวัดกาญจนบุรี คนใหม่ดำรงตำแหน่งอีกสมัย 4 ปี

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า การประชุมใหญ่สามัญของสมาคมกีฬาแห่งจังหวัดกาญจนบุรี แม้จะมีสมาชิกบางคนได้ออกแสดงความคิดเห็นกับในอดีตที่ผ่านมาว่าอย่าดูแค่นักกีฬาต้องดูทั้งประธานกลุ่มนั้นๆด้วย แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นไปด้วยความเรียบร้อยทางสมาคมกีฬาแห่งจังหวัดกาญจนบุรี และได้มีทุกชมรมกีฬาที่สังกัดสมาคมกีฬาแห่งจังหวัดกาญจนบุรี เข้าร่วมประชุมและลงคะแนนเลือกตั้งนายกสมาคมกีฬาแห่งจังหวัดกาญจนบุรี แทนคนเก่าที่ว่างลงอย่างพร้อมเพียงกันและก็ได้คนเก่า พล.อ.ดร.ชินวัฒน์ แม้นเดช กลับมานั่งเก้าอี้ประมุขกีฬากาญจนบุรี ต่ออีกสมัย 4 ปี

โอกาสนี้ พลเอก ดร.ชินวัฒน์ แม้นเดช นายกสมาคมกีฬาแห่งจังหวัดกาญจนบุรี คนใหม่ ได้กล่าวต้องขอขอบคุณประธานชมรมกีฬาทุกประเภท ถือว่าเป็นสมาชิกของสมาคมฯ ที่ให้ความไว้วางใจให้ตนเองเข้ามาปฏิบัติงานของสมาคมกีฬาแห่งจังหวัดกาญจนบุรี อีกสมัย ก็จะต้องขับเคลื่อนงานต่อไป จากที่เราเคยทำไปแล้วช่วง 4 ปี แรก โดยได้กำหนดแนวทางและเป้าหมายไว้ 4 ประการ คือการพัฒนากีฬาความเป็นเลิศที่ผ่านมาถือว่าประสบผลสำเร็จ จนได้เป็นเจ้าภาพการแข่งขันกีฬาแห่งชาติที่ผ่านมาได้อย่างประสบผลสำเร็จได้ถึง 108 เหรียญทอง เป็นอันดับ 2 ของประเทศ รองจากกรุงเทพมหานครฯ

และในปีนี้เราก็จะมุ่งเน้นกีฬาที่มีความเป็นเลิศให้มีฐานของนักกีฬาลึกมากขึ้น จะเน้นในการจัดการแข่งขันกีฬาของโรงเรียน ดังนั้นจะต้องพึ่งหวังจากท้องถิ่นแต่ละแห่ง โดยเฉพาะ อบจ. อบต. และเทศบาล ให้มาร่วมกันจัดการแข่งกีฬาในแต่ละท้องถิ่น เพื่อเปิดโอกาสให้เด็กๆ ของเราได้มีโอกาสทดสอบทักษะกีฬาแต่ละประเภท รวมถึงการพัฒนากีฬาเพื่อการท่องเที่ยว เพราะกาญจนบุรี มีแหล่งท่องเที่ยวอยู่เป็นจำนวนมาก แต่อัตราการท่องเที่ยว รายได้เข้ามาในจังหวัดยังน้อยกว่าในจังหวัดอื่นๆ เขา เรื่องนี้ได้มีการเจรจาไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดฯ และทาง นายก อบจ. ความตั้งใจต้องการจะให้กาญจนบุรี เป็นศูนย์การท่องเที่ยวเชิงกีฬาของภาคตะวันตก จะได้ถ่วงดุลกับในจังหวัดอื่นๆ ได้ และเวลานี้เส้นทางมอเตอร์เวย์ เราก็จะเสร็จเมื่อเสร็จแล้วจะเดินทางมากาญจนบุรี ก็จะสะดวกมากขึ้น หากการพัฒนาแล้วเสร็จ นักท่องเที่ยวก็จะมามากขึ้น อยู่เมืองกาญจน์ นานขึ้นเขาก็จะใช้จ่ายเพิ่มขึ้นถือเป็นมิติใหม่โดยนำเอากีฬามาเป็นตัวเชื่อมโยงกับการท่องเที่ยวของกาญจนบุรี ในอนาคต./

ข่าวภูมิภาคกาญจนบุรี / ปรีชา ไหลวารินทร์

กาญจนบุรี – ผบก.ตร.กาญจน์ แจง สองแม่ลูกเหยื่อน้ำกรดร้องกัน จอมพลัง เกิดเหตุที่ประเทศเมียนมา ก่อนนำตัวมารักษาในไทย

กาญจนบุรี – ผู้บังคับการตำรวจจังหวัดกาญจนบุรี แจง สองแม่ลูกเหยื่อน้ำกรดร้องกัน จอมพลัง เกิดเหตุที่พญาตองซู ประเทศเมียนมา ก่อนถูกนำตัวมารักษาในไทย

   จากกรณี นายกัณฐัศว์ พงศ์ไพบูลย์เวชย์ หรือ “กัน จอมพลัง” ได้นำรูปภาพสภาพสองแม่ลูกที่ถูกราดด้วยน้ำกรดเข้าตามใบหน้าและร่างกายมาโพสต์ลงในเฟสบุ๊ก เมื่อทุกคนเห็นต่างรู้สึกหดหู่และสรสารสองแม่ลูกเป็นอย่างมาก

โดย กัน จอมพลัง ได้เขียนระบุว่าเรื่องราวชวนหดหู่ใจ โดยเป็นเรื่องราวของสาวที่ถูกเมียใหม่นำน้ำกรดมาราดใส่ จนทำให้หูหลุด ใบหน้าผิดรูป แถมลูกน้อยวัย 8 เดือนยังโดนด้วยจนตาบอดทั้ง 2 ข้างด้วย“แม่อุ้มลูก 8 เดือนจาก กาญจนบุรี มาขอให้ผมช่วย แม่ถูกเมียคนที่ 2 ของพ่อ ย่องเอาน้ำกรดมาราดหัวแม่ตอนอาบน้ำน้อง 8 เดือน จนแม่หูหลุดหน้าเหลวผิดรูปแขนใช้ได้ข้างเดียวเละทั้งตัว แม่พยายามอยู่นิ่งๆเพื่อไม่ให้น้ำกรดโดนน้อง แต่ก็ไม่พ้นเมียอีกคนของพ่อเห็นน้องจึงเอาน้ำกรดราดใส่น้องทั้งตัวจนตาบอด 2 ข้างหน้าตัวเละเหลวผิดรูปปัจจุบันพ่อทิ้งแม่และลูกไปมีเมียใหม่ คนก่อเหตุลอยนวล ผมรับปากช่วย” “เคสแบบนี้ต้องเจอผม สงสารน้องมาก ส่งน้องตกนรกทั้งเป็นเลย มันจะได้รับผลของการกระทำอย่างสาสม”

จากกรณีข้างต้น พล.ต.ต.นครินทร์ สุคนธวิท ผู้บังคับการตํารวจภูธร(ผบก.ภ.จว.)กาญจนบุรีจึงเร่งดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง จนกระทั่งได้รับรายงานข้อเท็จจริงจาก พ.ต.อ.ไพฑูรย์ ศรีวิลัย ผกก.สภ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี ว่า เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2566 เวลาประมาณ 18.00 น. ขณะที่ นางเกตีฯ อยู่บ้านเช่าไม่ทราบเลขที่ ซ 3 เมืองพญาตองซู ประเทศเมียนมา และกำลังอาบน้ำให้ ด.ญ.ก่อหญ้าฯ ลูกสาว)อยู่ ต่อมาได้มี น.ส.ชอนฯ สัญชาติเมียนมา มาหาที่บ้าน และได้ใช้น้ำกรดบรรจุในขวดพลาสติกสีเหลือง จำนวน 1 ขวด สาดใส่ นางเกตีฯ ได้รับบาดเจ็บที่บริเวณศีรษะ ใบหน้าด้านขวา ใบหู คอ และร่างกายทั้งตัว และ ด.ญ.ก่อหญ้าฯ ลูกสาว ได้รับบาดเจ็บที่บริเวณใบหน้า ร่างกายทั้งตัว และตาบอดทั้งสองข้าง

โดยมีคนเรียกรถพยาบาล นำตัวนางเกตีฯ และ ด.ญ.ก่อหญ้าฯ ลูกสาว ไปรักษาที่อนามัยในอำเภอพญาตองซู ประเทศเมียนมา แล้วส่งต่อไปรักษาที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ(รพ.สต.)บ้านพระเจดีย์สามองค์ หมู่ 9 ต.หนองลู อ.สังขละบุรี และส่งต่อไปรักษาที่ รพ.สังขละบุรี แล้วส่งต่อไป รพ.พหลพลพยุหเสนาก่อนจะส่งแยกกันไปรักษา ที่ รพ.นพรัตน์ราชธานี และ รพ.ศิริราช โดยนางเกตีฯ ใช้เวลารักษาตัว 3 เดือน ด.ญ.ก่อหญ้าฯ ลูกสาว ใช้เวลารักษาตัว 5 เดือน

ต่อมา (9 มี.ค.67) นางเกตีฯ จึงได้มาร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนที่ สภ.สังขละบุรี ให้ดำเนินคดีกับ น.ส.ชอน ไม่มีชื่อสกุล สัญชาติเมียนมาจนกว่าคดีจะถึงที่สุด พนักงานสอบสวน สภ.สังขละบุรี ได้ทำการสอบสวนผู้กล่าวหา พยานไว้แล้ว และได้ทำหนังสือเสนอไปยังสำนักงานอัยการสูงสุด ที่ ตช. 0022 (กจ).3(14)/716 ลงวันที่ 12 มี.ค.2567 “เรื่องขอให้อัยการสูงสุดพิจารณาดำเนินการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 20 ว่าการกระทำของผู้ต้องหาเป็นความผิดนอกราชอาณาจักร หรือ ไม่

ต่อมาตามหนังสือสำนักงานอัยการสูงสุด ที่ อส 0033.1/245 ลงวันที่ 5 เม.ย.2567 “เรื่อง คืนเรื่องการสอบสวนกรณีขอให้อัยการสูงสุดพิจารณาดำเนินการ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 20” อัยการสูงสุดพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้ เกิดขึ้นและสำเร็จลงในประเทศสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ซึ่งอยู่นอกราชอาณาจักรไทย โดยไม่ปรากฎว่ามีการกระทำส่วนหนึ่งส่วนใดได้กระทำในราชอาณาจักไทย

ภาพ-ข่าวภูมิภาคกาญจนบุรี / ปรีชา ไหลวารินทร์

กาญจนบุรี – ระทึกโค้งเขาตับเต่า! พนักงานโรงงาน  28 ชีวิต นั่งบัสแหกโค้งเสียชีวิต 1 ศพ เจ็บ 27 ราย

กาญจนบุรี – ระทึกโค้งเขาตับเต่า! พนักงานโรจนะ พระนครศรีอยุธยา 28 ชีวิต พักแพศรีสวัสดิ์ คนขับไม่ชำนาญทางเบรกกลิ่นไหม้ก่อนพุ่งปีนข้ามแท่งแบริเออร์สูงเกือบ 2 เมตร มีผู้เสียชีวิต 1 ศพ เจ็บสาหัสและไม่สาหัสอีก จำนวน 27 ราย

   ผู้สื่อข่าวรายงานว่าศูนย์วิทยุ 191 รับแจ้งอุบัติเหตุรถทัวร์นำเที่ยวเกิดเสียหลักตกเขา มีผู้เสียชีวิต และบาดเจ็บหลายราย ที่บริเวณช่วงโค้งขาลง”เขาตับเต่า” ทางหลวง 3199 ตำบลท่ากระดาน อำเภอศรีสวัสดิ์ จังหวัดกาญจนบุรี ได้แจ้งไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ศรีสวัสดิ์ แล้วจึงรุดไปพร้อมหน่วยกู้ชีพมูลนิธิพิทักษ์กาญจน์ ปลัดอำเภอศรีสวัสดิ์ เจ้าหน้าที่ชุดกู้ชีพจากอุทยานเอราวัณ รุดนำอุปกรณ์ตัดถ่าง เพื่อเร่งเข้าช่วยผู้บาดเจ็บออกมาจากซากรถออกไปส่งยังโรงพยาบาลต่างๆพื้นที่ใกล้เคียง

สำหรับในที่เกิดเหตุเป็นรถทัวร์นำเที่ยวแบบชั้นเดียว สีเขียวขาว หมายเลขทะเบียน 30 – 1418 สระบุรี หลุดโค้งทางลงเขาเป็นโค้งสุดท้าย ก่อนพุ่งข้ามแท่งแบริเออร์ที่มีความสูงเกือบ 2 เมตร ที่กั้นริมทางข้ามไปชนเสาไฟฟ้าขนาดใหญ่ขาด 1 ต้น แล้วก็พลิกตะแคงอยู่ริมข้างบริเวณไหล่เขา สภาพรถด้านหน้าพังยับเยิน ผู้โดยสารทั้งหมดที่ได้รับบาดเจ็บได้ร้องขอความช่วยเหลือ แล้วต่างทยอยกันปีนหน้าต่างรถออกมาจากซากรถรอการช่วยเหลือ และผู้โดยสารบางส่วนที่ยังติดอยู่ภายในรถทัวร์ ทางเจ้าหน้าที่จึงได้ใช้อุปกรณ์ตัดถ่างงัดเพื่อนำผู้บาดเจ็บออกมา โดยผู้บาดเจ็บมีอาการสาหัส 2 ราย บาดเจ็บปานกลาง 25 ราย เสียชีวิตจากรถทับ 1 ราย รวม 28 คน

และการช่วยเหลือผู้บาดเจ็บทั้งหมด ทางเจ้าหน้าที่จากศูนย์กู้ชีพนเรนทร ได้จัดระบบการลำเลียงผู้บาดเจ็บ เพื่อกระจายไปส่งยังโรงพยาบาลใกล้เคียงตามอาการหนักเบาของผู้บาดเจ็บ ประกอบด้วยโรงพยาบาลศรีสวัสดิ์ โรงพยาบาลพหลพลพยุหเสนา โรงพยาบาลไทรโทร และโรงพยาบาลบ่อพลอย เพื่อให้แพทย์ได้เร่งช่วยเหลือได้ทั่ว เนื่องจากเป็นวันอาทิตย์ แพทย์โรงพยาบาลส่วนใหญ่จะหยุดพักไม่ได้ปฏิบัติงานอยู่ในโรงพยาบาลของแต่ละพื้นที่ ดังนั้นจึงต้องกระจายผู้บาดเจ็บไปส่งยังหลายโรงพยาบาลเพื่อสะดวกในการรักษาพยาบาล ประกอบกับจุดเกิดเหตุอยู่ระหว่างกลางของโรงพยาบาลในแต่ละแห่งอีกด้วย

จากการสอบถามผู้ที่โดยสารมากับรถทัวร์ แจ้งว่าทั้งหมดเป็นพนักงานจากโรงงานในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา มาด้วยกัน 28 คน ได้เดินขึ้นไปท่องเที่ยวพักที่แพแห่งหนึ่งในพื้นที่ อำเภอศรีสวัสดิ์ และระหว่างกำลังจะเดินทางกลับ จนมาถึงบริเวณทางลง”เขาตับเต่า” และเป็นโค้งสุดท้ายก่อนถึงทางเรียบ ผู้โดยสารที่นั่งมาได้กลิ่นไหม้ แต่รถแล่นไม่เร็ว จากนั้นรถก็ควบคุมไม่อยู่พุ่งชนข้ามแท่งแบริเออร์สูงประมาณ 2 เมตร ก่อนไปพลิกตะแคงติดกับไหล่เขา ส่วนหน้ารถไปชนกับเสาไฟฟ้าขนาดใหญ่ขาดไป 1 ต้นดังกล่าว

สำหรับโค้ง”เขาตับเต่า”แห่งนี้มักจะเกิดอุบัติเหตุรถทัวร์นำเที่ยวตกเขาเป็นประจำ หากคนขับไม่ชำนาญเส้นทางก็จะทำให้ควบคุมรถไม่ได้เบรกแตก จนพุ่งตกลงไปในหุบเขาหรือชนกับภูเขาบ่อยครั้ง ซึ่งล่าสุดเมื่อต้นปีที่ผ่านมาก็เพิ่งมีรถทัวร์นำเที่ยวของคณะกำนันผู้ใหญ่บ้านเสียหลักตกเขาบริเวณจุดดังกล่าวจนมีผู้เสียชีวิตมาแล้ว และล่าสุดเป็นพนักงานโรงงานในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา โชคดีที่ไปปะทะเขาหากหลุดไปอีกฝั่งจะเป็นเหลวลึกกว่า 100 เมตร และเส้นทางบริเวณนี้ทางอำเภอศรีสวัสดิ์ ได้เตรียมเปิดปรับปรุงพื้นที่ขยายไหล่ทางออกไปให้กว้างกว่าเดิม และอยู่ในขั้นระหว่างการดำเนินการอยู่.

ภาพ-ข่าวภูมิภาคกาญจนบุรี / ปรีชา ไหลวารินทร์

ระทึก กลางน้ำ จนท.ไล่ล่าแก๊งเรือขนแรงงานเถื่อนรอไปมาเลเซีย รับจ่ายค่าหัว 35,000-50,000 บาท

กาญจนบุรี – ระทึก กลางน้ำ จนท.ไล่ล่าแก๊งเรือหางยาวขนแรงงานเถื่อน คนขับอาศัยความมืดหลบหนี โดนรวบ 1 ลำ เหตุใบพัดเสีย อีก 1 คดีลงเรือซุกป่า รอไปมาเลเซียโดนรวบ 48 คน รับจ่ายค่าหัว 35,000-50,000 บาท

วันนี้ 27 เม.ย.67 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.ต.ท.นัยวัฒน์ ผะเดิมชิต ผบช.ภ.7 พล.ต.ต.นครินทร์ สุคนธวิท ผบก.ภ.จว.กาญจนบุรี พล.ต.วุทธยา จันทมาศ ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 9 พ.ต.อ.บรรจง อัมฤทธิ์ รอง ผบก.ภ.จว.กาญจนบุรี พ.ต.อ.กฤตชัย ทองอยู่ รอง ผบก.ภ.จว.กาญจนบุรี พ.ต.อ.ภัทรชัย กอสนานรอง ผบก.ภ.จว.กาญจนบุรี พ.ต.อ.สธนทัต ตั้งสิทธิ์เสรีวงศ์ รอง ผบก.ภ.จว.กาญจนบุรี

พ.ต.อ.มานะ สำราญวงศ์ ผกก.สส.ภ.จว.กาญจนบุรี นายชาคริต ตันพิรุฬห์ นอภ.ทองผาภูมิ.พ.ต.อ.มนตรี แตงโต ผกก.สภ.ทองผาภูมิ พ.อ.พงศ์พัฒน์ ห้องสินหลาก ผบ.ร.29/ผบ.หน่วยเฉพาะกิจลาดหญ้า กกล.สุรสีห์ พ.อ.สุรเดช เมฆานุวงศ์ รอง ผบ.ร.29/รอง ผบ.ฉก.ลาดหญ้า กกล.สุรสีห์ พ.ต.อ.สุกิจ ก้องจตุศักดิ์ ผกก.ตชด.13 (ค่ายพระพุทธยอดฟ้า) ได้รับแจ้งจากสายลับว่า จะมีขบวนการลักลอบขนแรงงานต่างด้าวชาวเมียนมาด้วยการใช้เรือยนต์ล่องมาจากชายแดนด้าน อ.สังขละบุรี มุ่งหน้าขึ้นฝั่งบริเวณริมอ่างเก็บน้ำเขื่อนวชิราลงกรณ บ้านท่าแพ ต.ท่าขนุน อ.ทองผาภูมิ เป็นจำนวนมาก หลังรับแจ้งจึงสั่งการให้เจ้าหน้าที่สนธิกำลังเดินทางไปซุ่มโป่งบริเวณริมถนนทางลงท่าแพ

จนกระทั่งเวลา 03.00 น.เจ้าหน้าที่พบเรือหางยาวจำนวนหลายลำแล่นมาตามน่านน้ำ เจ้าหน้าที่ประจำเรือตรวจการจึงเปิดไฟส่องสว่างส่งสัญญาณให้คนขับเรือหยุดเพื่อขอตรวจค้น แต่ปรากฏว่าเมื่อคนขับเรือเห็นเจ้าหน้าที่จึงได้อาศัยความมืดและความชำนาญน่านน้ำขับเรือหลบหนีไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งเรือตรวจการของเข้าหน้าที่ได้พยายามเร่งติดตามไปอย่างกระชั้นชิดแต่ไล่ไม่ทัน โดยพบเรือเพียง 1 ลำลอยอยู่เหนือน้ำเนื่องจากใบพัดเรือเสียจึงไม่สามารถไปต่อได้

เจ้าหน้าที่จึงเข้าไปควบคุมตัวคนขับเรือพร้อมกับแรงงานต่างด้าวชาวเมียนมาเอาไว้ จากนั้นจึงนำมาขึ้นที่ท่าลงแพ ทราบชื่อคนขับเรือคือนายแขก ไม่มีนามสกุล ชาวเมียนมา อายุ 25 ปี โดยมีนานแอน ไม่มีนามสกุล ชาวเมียนมา อายุ 24 ปี ทำหน้าที่เป็นหัวเรือบอกช่องทางร่องลำน้ำ โดยมีแรงงานชาวเมียนมาที่โดยสารมากับเรือลำดังกล่าว จำนวน 13 คน เป็นชาย 11 คน หญิง 2 คน จากนั้นเจ้าหน้าที่จึงตรวจยึดเรือเอาไว้เป็นของกลางพร้อมกับนำตัวผู้ต้องหาทั้งหมดมาสอบปากคำเพิ่มเติมที่ สภ.ทองผาภูมิ

โดยนายแขก คนขับเรือและนายแอน ทำหน้าที่บอกทาง ให้การว่าตนทั้งสองได้รับการว่าจ้างจากชายชาวเมียนมาด้วยกันให้ขับเรือไปรับแรงงานจำนวนดังกล่าวมาจากท่าน้ำในพื้นที่ อ.สังขละบุรี และให้มาส่งที่ริมน้ำบ้านท่าแพ อ.ทองผาภูมิ โดยจะได้ค่าหัวคนละ 300 บาท ซึ่งพวกตนนำเรือขนแรงงานมาด้วยกันหลายลำเรือ แต่ทั้งหมดสามารถหลบหนีการจับกุมไปได้ส่วนเรือของตนเกิดใบพัดเสียไปต่อไม่ได้จึงถูกเจ้าหน้าที่จับกุมตัวได้ หลังจากผู้ต้องหาทั้งสองยอมรับสารภาพเจ้าหน้าที่จึงนำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.ทองผาภูมิ ดำเนินคดีตามกฎหมายในข้อกล่าวหา “ร่วมกันช่วยเหลือซ่อนเร้นหรือช่วยด้วยประการใดๆ ให้บุคคลต่างด้าวหลบหนีเข้ามาในราชอาณาจักรไทยโดยผิดกฎหมาย และ “เป็นบุคคลต่างด้าวหลบหนีเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรไทยโดยไม่ได้รับอนุญาต”

ขณะแรงงานที่โดยสารมากับเรือ จำนวน 13 ราย ไม่มีเอกสารใดๆมาแสดงต่อเจ้าหน้าที่ และให้การว่า หลบหนีเข้ามาในราชอาณาจักรไทยด้วยการใช้ช่องทางธรรมชาติ ทั้งหมดต้องการไปทำงานในพื้นที่จังหวัดชั้นใน โดยจะจ่ายค่าหัวให้กับนายหน้าเมื่อไปถึงจุดหมายปลายทางคนละ 15,000 บาท หลังจากรับสารภาพ เจ้าหน้าที่ดำเนินคดีในข้อกล่าวหา“เป็นบุคคลต่างด้าวหลบหนีเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรไทยโดยไม่ได้รับอนุญาต”

หลังจากที่เจ้าหน้าที่ชุดข้างต้นนำตัวผู้ต้องหาส่งพนักงานสอบสวน ดำเนินคดีได้ไม่นาน ก็ได้รับแจ้งจากสายข่าวอีกครั้งหนึ่งว่า พบกลุ่มบุคคลเป็นจำนวนมากหลบซ่อนตัวอยู่ชายป่าริมอ่างเก็บน้ำเขื่อนวชิราลงกรณบ้านท่าแพ ต.ท่าขนุน เจ้าหน้าที่จึงนำกำลังไปตรวจสอบ จนกระทั่งเวลา 06.00 น.เจ้าหน้าที่จึงพบกลุ่มแรงงานต่างด้าวชาวเมียนมาหลบซ่อนตัวอยู่ชายป่าริมน้ำ เจ้าหน้าที่จึงแสดงตัวเข้าจับกุม จากนั้นจึงนำรถยนต์มาลำเลียงแรงงานทั้งหมดไปสอบปากคำเพิ่มเติมที่ สภ.ทองผาภูมิ นับรวมกันได้จำนวน 48 คน เป็นชาย 35 คน หญิง 13 คน โดย 4 ใน 48 คน เป็นเด็กหญิงและชาย อายุ ระหว่าง 1-8 ขวบ ซึ่งเด็กทั้ง 4 คน เป็นลูกของแรงงานที่นำพาหลบหนีมาด้วย

จากการสอบสวนผ่านล่าม ทราบว่าทั้งหมดหลบหนีเข้ามาในราชอาณาจักรไทยด้วยการใช้ช่องทางธรรมชาติทางด้านด่านเจดีย์สามองค์ หมู่ 9 ต.หนองลู อ.สังขละบุรี จากนั้นเดินลัดเลาะไปตามชายป่าเพื่อหลบด่าน โดยมีคนขับรถยนต์มารับไปลงเรือเรือที่ท่าน้ำในพื้นที่ อ.สังขละบุรี แล้วนำมาส่งที่ชายป่าจุดที่ถูกเจ้าหน้าที่เข้าจับกุม ซึ่งทั้งหมดรอรถยนต์มารับเพื่อมุ่งหน้าไปทำงานที่ประเทศมาเลเซีย ทุกคนต้องจ่ายค่าหัวให้กับนายหน้ามากถึงคนละ 35,000-50,000 บาท ขึ้นอยู่กับระยะทาง โดยจะจ่ายก็ต่อเมื่อไปถึงที่ทำงานในประเทศมาเลเซีย

หลังจากผู้ต้องหาให้การยอมรับสารภาพเจ้าหน้าที่จึงนำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.ทองผาภูมิ ดำเนินคดีตามกฎหมายในข้อหา“เป็นบุคลต่างด้าวหลบหนีเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรไทยโดยไม่ได้รับอนุญาต”ยกเว้นเด็กจำนวน 4 คนที่เป็นลูกของแรงงาน แต่เนื่องจากแรงงานกลุ่มดังกล่าวไม่มีผู้นำพา เจ้าหน้าที่จะส่งตัวให้กับเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง หรือ ตม.ในการรอผลักดับกลับสู่ประเทศต้นทางต่อไป


ภาพ-ข่าวภูมิภาคกาญจนบุรี / ปรีชา ไหลวารินทร์

กาญจนบุรี – เวทีรับฟังความคิดเห็นโครงการอุโมงค์น้ำเขื่อนศรีนครินทร์ เวทีที่ 4 ชาวเลาขวัญ

กาญจนบุรี – เวทีรับฟังความคิดเห็นโครงการอุโมงค์น้ำเขื่อนศรีนครินทร์ เวทีที่ 4 ชาวเลาขวัญ ส.ส.ศักดิ์ดาฯ ขอให้ไปทบทวนการออกแบบใหม่ให้สอดคล้องในละพื้นที่โดยเฉพาะระดับน้ำทะเล เพื่อให้ชาวบ้านได้ใช้น้ำครอบคลุมทุกพื้นที่อย่างแท้จริง

กรมชลประทาน เริ่มเวทีเปิดรับฟังความคิดเห็นโครงการผันน้ำจากอ่างเก็บน้ำเขื่อนศรีนครินทร์ เพื่อบรรเทาปัญหาภัยแล้ง 5 อำเภอ 4 เวที เริ่มเวทีแรก อำเภอศรีสวัสดิ์ เวที สอง อำเภอห้วยกระเจา เวทีสาม อำเภอบ่อพลอย และอำเภอสุดท้ายที่อำเภอเลาขวัญ ส่วนอุโมงค์ผันน้ำผ่านไปยัง 5 อำเภอ ประกอบด้วยจาก อำเภอศรีสวัสดิ์ บ่อพลอย หนองปรือ ห้วยกระเจา และปลายอุโมงค์สุดที่อำเภอเลาขวัญ โดยมีแผนก่อสร้างโครงการ 4 ระยะ ประกอบด้วย ระยะที่ 1 โครงการก่อสร้างอุโมงค์ผันน้ำลอดใต้ภูเขาที่ระดับเฉลี่ย 500 ถึง กว่า 900 เมตร จากผิวดิน ระยะทางก่อสร้างรวมกว่า 300 กิโลเมตร เริ่มจากจุดบริเวณบ้านลำสะด่อง เขตอำเภอเมือง ริมถนนสาย 3199 ไปลงอ่างเก็บน้ำลำอีซู ขนาดอุโมงค์ 4.20 เมตร ความยาว 20.500 กิโลเมตร อัตราผันน้ำวันละ 1.036 ล้านลูกบาตรเมตร( ลบ.ม.) มีอาคารประกอบ ได้แก่ อาคารรับน้ำ และอาคารจ่ายน้ำ โดยเริ่มชี้แจ้งให้ประชาชนรับฟังมาแล้ว 4 เวที

สุดท้ายเวทีที่ 5 เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2567 ที่ห้องประชุมอำเภอเลาขวัญ จังหวัดกาญจนบุรี การประชุมกลุ่มย่อยรวม 4 เวที กรมชลประทาน จึงได้ว่าจ้าง กลุ่มผู้ให้บริการออกแบบ “กิจการร่วมค้า PFWFT JV” ซึ่งประกอบด้วย บริษัท ปัญญา คอนซัลแตนท์ จำกัด บริษัท ฟลัดเวย์ จำกัด บริษัท วิศวชาญ 2002 จำกัด บริษัท ฟรอนเทียร์ เอ็นจิเนียริ่ง คอนซัลแทนท์ส จำกัด และบริษัท ธูว์ บราเดอร์ พาทเนอร์ จำกัด ดำเนินการสำรวจ ออกแบบ โครงการผันน้ำจากเขื่อนศรีนครินทร์

เพื่อบรรเทาปัญหาภัยแล้ง จังหวัดกาญจนบุรี โดยมี นายอรรถพล พรหมศิริ วิศวกรโยธา/ชลประทาน นายชลเมธ มงคลศิลป์ วิศวกรโครงการงานจ้าง นายประยุทธ เจริญกุล ผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งแวดล้อม บริษัท ปัญญา คอนซัลแตนท์ จำกัด นายกรกช เหล่านุญชัย วิศวกรโยธา / ชลประทาน ผู้ร่วมนำเสนอข้อมูลโครงการ วัตถุประสงค์ลักษณะและรายละเอียดโครงการ แนวคิดการออกแบบ เกณฑ์ในการออกแบบ และรูปแบบการพัฒนาโครงการ

ในส่วนของผู้นำท้องถิ่นผู้นำท้องที่มี นายเผาพันธ์ ดอกมะลิป่า สจ.เขตอำเภอเลาขวัญ นายชาติชาย ฉัตรเมธี นายก อบต.หนองโสน นายปฎิภาณ ปทุมสูตร นายก อบต.ทุ่งกระบ่ำ พร้อมด้วยกำนันผู้ใหญ่บ้าน และประชาชนเข้าร่วมฟังเป็นจำนวนมาก

โอกาสนี้นายศักดิ์ดา วิเชียร์ศิลป์ส.ส.กาญจนบุรี เขต 4 พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ตนเดินทางมาร่วมกิจกรรมจิตอาสา ที่ตำบลหนองฝ้าย และทราบว่ามีการรับฟังความคิดเห็นเรื่องอุโมงค์ผันน้ำที่อำเภอเลาขวัญ ตนจึงได้ติดตามเรื่องนี้มาตลอด และสิ่งที่กังวลที่สุด ตนก็เป็นห่วงใน 2 ประเด็นคือ
ประเด็นที่ 1 ส่วนราชการบางแห่งก็ดีบางโครงการก็ดี บางโครงการสร้างแล้วใช้ไม่ได้ แล้วมาผลักภาระให้กับท้องถิ่น ตนจะไม่ยอมเด็ดขาด โดยเฉพาะเรื่องของระดับน้ำทะเลมีส่วนสำคัญ ตนเคยเชิญบริษัทที่ออกแบบ และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องมารับทราบถึงระดับน้ำทะเล จะต้องทำให้สามารถส่งน้ำมายังอำเภอห้วยกระเจา หนองปรือ และมาถึงเลาขวัญ ซึ่งเป็นปลายน้ำจะต้องใช้น้ำได้
ประเด็นที่ 2 ถ้าสร้างเสร็จแล้วประชาชนจะได้ใช้น้ำหรือไม่ 1 ถ้าใช้ไม่ได้ตนในฐานะประชาชนคนหนึ่งไม่ยอมอย่างเด็ดขาด และจะร้องถึงผู้ที่เกี่ยวข้องต่อไป และที่สำคัญการสร้างอุโมงค์ผันน้ำ จะต้องไม่มีผลกระทบต่อสัตว์ป่าอย่างเด็ดขาด และเสียงของประชาชนและผู้นำท้องถิ่นที่เข้าร่วมประชุมกลุ่มย่อย ยังฝากมาอีกว่าไม่อยากเห็นเมื่อสร้างอุโมงค์น้ำเสร็จแล้วมาแล้วอนาคตอย่าได้เป็นเหมือนอนุสาวรีย์เท่านั้น

และหลังจากเสร็จการสจัดเวทีประชุมกลุ่มย่อยทั้ง 4 อำเภอ นี้แล้ว ภายใน 15 วัน จะเร่งสรุปปัญหาเรื่องในแต่ละกลุ่มใน 4 อำเภอส่งไปยังกรมชลประทาน เพื่อมีการตรวจสอบและดำเนินการต่อไป

ภาพ-ข่าวภูมิภาคกาญจนบุรี / ปรีชา ไหลวารินทร์

อบจ.ราชบุรี เร่งแก้ปัญหาภัยแล้ง ระดมเครื่องจักรช่วย อ.สวนผึ้ง สาเหตุแล้งจนน้ำในบ่อประปาแห้ง

ราชบุรี – ระดมเครื่องจักรเร่งแก้ปัญหาภัยแล้ง
อบจ.ราชบุรี เร่งแก้ปัญหาภัยแล้ง ระดมเครื่องจักรช่วยชาวบ้าน อ.สวนผึ้ง หลังประสบปัญหาแล้งหนัก น้ำในสระทำประปาแห้งขอด นายอำเภอสวนผึ้ง ประสานนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดราชบุรี ขอเครื่องจักรขุดลอกลำห้วยลำภาชี พร้อมตั้งเครื่องสูบส่งระยะไกล ช่วยเหลือชาวบ้านอย่างเร่งด่วน
 

นายวิวัฒน์ นิติกาญจนา นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดราชบุรี

นายวิวัฒน์ นิติกาญจนา นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดราชบุรี นายชนันต์ อินทรักษ์ นายอำเภอสวนผึ้ง จ.ราชบุรี นายดุสิต จิรภัทรากร เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด นายกฤษณะ พลอยชุม เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด นายองอาจ แดงสั้น สมาชิกสภา อบจ.ราชบุรี เขต อ.สวนผึ้ง นายพุด แย้มพรหม นายก อบต.ตะนาวศรี ร.ต.ทวีศักดิ์ แสนทรัพย์ ผบ.หมวดลาดตระเวน ที่ 2 หน่วยเฉพาะกิจทัพยาเสือ ร่วมลงพื้นที่ตรวจสอบการทำงานของเครื่องจักรกล หลังจากทางองค์การบริหารส่วนจังหวัดราชบุรี ได้รับการร้องขอให้นำเครื่องจักรกลมาขุดลอกลำห้วยลำภาชี บริเวณหมู่ที่ 1 ต.ตะนาวศรี อ.สวนผึ้ง ระยะทาง 3 กิโลเมตร ซึ่งบริเวณลำห้วยดังกล่าวเกิดการตื้นเขินและมีทรายจำนวนมาก ขวางทางน้ำไม่สามารถลงไปสู่ปลายน้ำ

เป็นสาเหตุทำให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อนอย่างหนักไม่มีน้ำทำการเกษตรและอุปโภค และยังได้นำเครื่องสูบส่งระยะไกล 3 กิโลเมตร ตั้งบริเวณลำห้วย สะพานบ้านวังน้ำเขียว หมู่ 2 ต.ท่าเคย อ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี เพื่อสูบส่งไปยังสระน้ำสาธารณประโยชน์ของหมู่บ้าน ในการผลิตน้ำประปาให้ประชาชนได้ใช้น้ำ


นายวิวัฒน์ นิติกาญจนา นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดราชบุรี เปิดเผยว่า ช่วงนี้ทุกพื้นที่จะเกิดปัญหาภัยแล้ง ซึ่งในปีนี้จะเป็นปีที่แล้งมาก ในพื้นที่ อ.สวนผึ้ง นี้ได้รับการประสานงานจากนายอำเภอสวนผึ้ง ขอเครื่องจักรเร่งแก้ปัญหาความเดือดร้อนให้กับประชาชน ซึ่งทาง อบจ.ราชบุรี ก็ได้ดำเนินการอย่างเร่งด่วน ให้เจ้าหน้าที่เร่งรีบขุดลอกทรายในลำห้วยที่สะสมกันเป็นจำนวนมากออกเพื่อเปิดทางน้ำให้น้ำได้ไหลผ่านสะดวกและสามารถใช้ทำในการทำเกษตรได้ ในส่วนที่ไหนมีปัญหาเรื่องสระน้ำสาธารณแห้ง แจ้ง เทศบาลหรือ อบต.ในพื้นที่สำรวจแหล่งน้ำที่ไหลผ่าน และให้ทำการร้องขอมา ทาง อบจ.จะจัดเครื่องสูบส่งระยะไกลไปสูบเติมน้ำในสระให้ประชาชนได้ใช้ประโยชน์อย่างทั่วถึง

ภาพ-ข่าว พันธุ์ – จรรยา แก้วนุ้ย จ.ราชบุรี

กาญจนบุรี – ควันหลงประเพณีสงกรานต์กะเหรี่ยงบ้านสะเนพ่อง กับกิจกรรมสำคัญที่ต้องทำในวันขึ้น 15ค่ำเดือน 5

กาญจนบุรี – ควันหลงประเพณีสงกรานต์กะเหรี่ยงบ้านสะเนพ่อง กับกิจกรรมสำคัญที่ต้องทำในวันมหาสงกรานต์ (ขึ้น 15ค่ำเดือน 5)

  ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ชาวบ้านสะเนพ่อง ต.ไล่โว่ อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี ซึ่งเป็นชุมชนชาวไทยเชื้อสายกะเหรี่ยง รวมทั้งประชาชน นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาร่วมงานประเพณี สงกรานต์บ้านสะเนพ่อง โดยถือเอาวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 5 ของทุกปีเป็นวันมหาสงกรานต์ประจำปี 2567 ต่างสวมใสชุดพื้นเมืองกะเหรี่ยงที่มีทั้งสีสันสดใส แดง ชมพู น้ำเงิน ม่วง ฟ้า เหลือง รวมถึงสีขาวบริสุทธิ์ เดินทางมาที่วัดสะเนพ่อง ซึ่งเป็นสถานที่จัดงานสงกรานต์ของหมู่บ้านในทุกปี ต้องบอกว่า ประเพณีสงกรานต์ของชาวบ้านสะเนพ่อง นั้นไม่ได้เน้นความสนุกสนาน แต่เน้นพิธีกรรมที่สืบทอดต่อกันมาอย่างยาวนาน โดยกิจกรรมช่วงเช้าของวันนี้ เริ่มต้นด้วยสิ่งดีๆ คือพิธีตักบาตรใต้ต้นโพธิ์ ที่อยู่ด้านหลังวัดสะเนพ่อง ชาวบ้านและผู้มาร่วมงานทั้งหมดจะมารวมกันที่ใต้ต้นโพธิ์ใหญ่ ที่แผ่กิ่งก้านให้ความร่มเย็น

เมื่อถึงเวลาพระสงฆ์ได้เดินทางมายังลานพิธีใต้ต้นโพธิ์ที่ได้จัดเตรียมไว้ พระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์และให้ผู้เข้าร่วมพิธีร่วมกันรับศีล 5(เบญจศีล) ต่อมาทุกคนที่มาร่วมงานจึงได้ร่วมกันตักบาตรข้าวสุก จากนั้นก็กรวดน้ำแผ่บุญกุศลให้กับพ่อแม่ ญาติสนิท มิตรสหาย เจ้ากรรมนายเวร รุกขเทวดา เจ้าป่าเจ้าเขา เพื่อความเป็นสิริมงคล

สำหรับพิธีกรรมดังกล่าวมีความเชื่อสืบต่อกันมาว่าในพุทธกาล พระพุทธเจ้าได้ใช้ต้นโพธิ์เป็นที่ประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน ชาวบ้านที่นี่จึงถือต้นโพธิ์ เป็นตัวแทนของพระพุทธองค์ จึงได้ระลึกถึงคุณงามความดีการร่วมกันตักบาตรใต้ต้นโพธิ์ ก็เสมือนกับได้ตักบาตรต่อหน้าพระพุทธเจ้านั่นเอง

ต่อจากนั้นจึงมาถึงพิธี “ค้ำต้นโพธิ์ หรือ “ขอขมาต้นโพธิ์” ซึ่ง ชาวบ้านจะนำไม้ไผ่ที่เตรียมมาจากบ้าน มาค้ำยัน กิ่งก้าน และลำต้นของต้นโพธิ์ นอกจากการนำไม้ไผ่มาค้ำต้นโพธิ์แล้ว ชาวบ้านยังนำดอกไม้ธูปเทียน น้ำขมิ้นส้มป่อย มาทำความสะอาดต้นโพธิ์และไหว้เพื่อขอขมาต้นโพธิ์ ทำให้บริเวณลานโพธิ์ที่เคยว่างเปล่ามีไม้ไผ่จำนวนหลายร้อยกระบอก ค้ำกิ่งก้านต้นโพธิ์โดยรอบ

ชาวกะเหรี่ยงบ้านสะเนพ่องมีความเชื่อสืบต่อกันมาว่า การค้ำต้นโพธิ์ เสมือนเป็นการค้ำชูพระพุทธศาสนา อีกทั้งยังเชื่อกันว่ากุศลในการถวายไม้ค้ำโพธิ์เป็นการฝากชีวิตให้กับต้นโพธิ์ช่วยคุ้มครองดวงชะตาให้เจริญขึ้น ไม่ตกต่ำ มีคนช่วยเหลือค้ำชู มีอายุมั่นขวัญยืน สุขภาพพลามัยแข็งแรง และยังเป็นการสะเดาะเคราะห์ ให้ผ่านพ้นจากสิ่งไม่ดีทั้งปวง รวมถึงเป็นการต่ออายุของตนเองด้วย

จากนั้นชาวบ้านจะไปที่บริเวณลำห้วยโรคี่ ที่ไหลผ่านด้านหลังของวัดสะเนพ่อง เพื่อร่วมพิธีขอขมาสะพานและล้างสะพานที่ได้ช่วยกันสร้างขึ้นมาจากไม้ไผ่ เพื่อไว้เดินทางข้ามไปมาหาสู่กัน เมื่อมาถึงบริเวณสะพาน ทุกคนก็จะพร้อมใจกันตักน้ำในลำห่วยโรคี่ มาล้างทำความสะพาน นำหินจากในลำน้ำมาวางบนสะพาน ก่อนจะนำน้ำขมิ้นส้มป่อยมาปะพรม รวมทั้งนำกระบอกไม้ไผ่ที่ภายในบรรจุน้ำไว้มาวางข้างๆสะพานพร้อมดอกไม้ธูปเทียนที่เตรียมมา ก่อนที่เจ้าพิธีจะนำประกอบพิธีขอขมาสะพาน

ก่อนจะปิดท้ายพิธีกรรมในช่วงเช้าด้วยการร่วมกันปล่อยปลาที่ได้จากการช่วยให้รอดมาจากแหล่งน้ำที่กำลังแห้งขอด เพื่อมาปล่อยในแม่น้ำให้ได้รอดพ้นจากความตายโดยชาวกะเหรี่ยงมีความเชื่อที่สืบต่อกันมาถึงการชำระล้างสะพาน และการปล่อยปลาในวันสงกรานต์ ว่าการชำระล้างสะพานนั้นเหมือนการชำระล้างสิ่งสกปรก นำอุปสรรคและสิ่งกีดขวางให้ออกไปจากชีวิต เพื่อให้ชีวิตปราศจากอุปสรรคและปัญหา ทำสิ่งใดก็จะประสบแต่ความราบรื่น การปล่อยปลาจะทำช่วยให้แม้จะตกอยู่ในห้วงที่ต้องตายก็จะผ่านพ้นจากความตาย ความทุกข์ ความโศก ไปได้ด้วยผลบุญที่ได้ปล่อยปลานั่นเอง เมื่อเสร็จจากการปล่อยปลาแล้วผู้ที่มาร่วมพิธีทั้งเด็ก วัยรุ่น และคนเฒ่า คนแก่ ก็จะนำขัน หรือภาชนะอื่นที่เตรียมมา ตักน้ำในลำหวยโรคี่สาดใส่กันพอหอมปากหอมคอ ช่วยให้คลายร้อน ก่อนแยกย้ายกันพักพ่อน เพื่อรอพิธีสรงน้ำพระแก้วในช่วงบ่าย

ต่อมาในช่วงบ่าย ได้มีพิธีอัญเชิญพระแก้วขาว (พระรัตนสังขละบุรี ศรีสุวรรณ) พระคู่บ้านคู่เมือง ออกจากที่ประดิษฐาน ในศาลาวัดสะเน่พ่อง มายังศาลาพิธีด้านหน้าวัดสะเนพ่อง โดยในทุกๆ ปี จะมีการสร้างขึ้นมาจากไม้ไผ่และวัสดุจากธรรมในหมู่บ้าน ก่อนจะประดับประดาสถานที่ด้วยริ้วธง ตุง และดอกไม้ เพื่อให้ดูสวยงาม เหมาแก่การใช้เป็นสถานที่สรงน้ำพระแก้วขาว หลังจากพระสงฆ์เจริญพุทธมนต์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว พระภิกษุ และแม่ชี จะเริ่มทำการสรงน้ำพระแก้วขาว โดยน้ำที่ใช้เป็นน้ำที่ใส่น้ำหอม แป้ง ขมิ้น และลูกส้มป่อยที่ผ่านการเผาแล้ว ทำให้น้ำมีกลิ่นหอม
หลังจากนั้นก็ให้ชาวบ้านที่มาร่วมงานจะได้สรงน้ำพระแก้วขาว เพื่อความเป็นสิริมงคล ซึ่งปีนี้มีผู้ที่มาร่วมพิธีสรงน้ำพระแก้วขาวจำนวนกว่า 3,000 คน ซึ่งมากกว่าทุกๆ ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ต้องใช้เวลานานอยู่หลายชั่วโมง

พระพุทธรัตนสังขละบุรีศรีสุวรรณ (พระแก้วขาว) พระคู่บ้านคู่เมืองอำเภอสังขละบุรี ที่สมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว(รัชกาลที่3)พระราชทานให้พระศรีสุวรรณคีรีที่1 เมื่อครั้งไปร่วมพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยา เพื่อเป็นขวัญกำลังใจแก่คนกะเหรี่ยงที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ป่าทุ่งใหญนเรศวรด้านตะวันตกของสยาม ในอดีตพระพุทธรัตนสังขละบุรี (พระแก้วขาว) เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ประดิษฐานบนฐานชุกชี เรียงกัน 3 ชั้น ที่ทำจากโลหะเงิน องค์พระมีขนาดหน้าตัก กว้าง 7 นิ้ว หล่อจากแก้วใสสีเขียวตองอ่อน พระแก้วมรกตองค์นี้เป็นพระคู่บ้านคู่เมืองสังขละบุรี อยู่ที่วัดสะเนพ่อง มาถึง 200 ปี เป็นพระพุทธรูปที่ชาวกะเหรี่ยงและชาวพุทธให้ความศรัทธาเคารพนับถือมากประดิษฐานภายในวัดสะเนพ่อง ต.ไล่โว่ อ.สังขละบุรี ซึ่งจะอัญเชิญมาประดิษฐานยังปะรำพิธีเป็นการชั่วคราวเพียงปีละ 1 ครั้ง เท่านั้น ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 5 เพื่อให้ลูกหลานชาวกะเหรี่ยง ได้ร่วมสรงน้ำพระเพื่อความเป็นสิริมงคลในช่วงเทศกาลสงกรานต์ และพิธีการสุดท้าย คือ การสรงน้ำพระสงฆ์ โดยจะมีการนำไม้ไผ่ผ่าซีก มาวางต่อกันเป็นท่อยาวไปยังซุ้มอาบน้ำที่สร้างขึ้นมา โดยผู้ที่จะมาสรงน้ำพระจะเตรียมน้ำหอมน้ำปรุง มายืนรอข้างๆ รางไม้ไผ่ที่เตรียมไว้

เมื่อถึงเวลาพระสงฆ์จะลงมาจากศาลาวัดเพื่อมาสรงน้ำในพื้นที่ที่ได้จัดเตรียมไว้ ชาวบ้านทั้งหญิงชาย ทั้งคนหนุ่มสาว คนเฒ่าคนแก่ รวมทั้งเด็ก จะนั่งคุกเข่ากับพื้น เพื่อเป็นสะพานให้พระสงฆ์เดินลงจากวัดมาสรงน้ำบริเวณที่จัดเตรียมไว้ โดยผู้เข้าร่วมงานจะเทน้ำใส่ในรางไม้ไผ่ที่จะไหลมารวมกันยังจุดที่พระสงฆ์อยู่ ก่อนเดินทางกลับขึ้นวัด ด้วยสะพานมนุษย์อีกครั้ง โดยมีความเชื่อสืบต่อๆ กันมาว่าการเป็นสะพานให้พระเดินหรือเหยียบนั้น สามารถช่วยขจัดปัดเป่าอาการเจ็บป่วย หรือพ้นจากเคราะห์ร้ายต่างๆ ซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์ประเพณีสงกรานต์ของชาวกะเหรี่ยงบ้านสะเนพ่อง แห่งนี้ที่ไม่เหมือนที่ใด

ข่าวภูมิภาคกาญจนบุรี / ปรีชา ไหลวารินทร์

กาญจนบุรี – เปิดโรงเรียนพลเมือวงสถาบันพระปกเกล้า รุ่นที่ 7

โรงเรียนพลเมือง สถาบันพระปกเกล้า จังหวัดกาญจนบุรี จัดพิธีเปิดโรงเรียนพลเมือง สถาบันพระปกเกล้า ตำบลท่ามะขาม จังหวัดกาญจนบุรี รุ่นที่ 7 ณ ห้องเรียนห้องประชุมเทศบาลตำบลท่ามะขาม อ.เมือง จ.กาญจนบุรี

 

นายภัทร์ติพงษ์ เหลืองทอง. ประธานศูนย์พัฒนการเมืองภาคพลเมือง สถาบันพระปกเกล้า จังหวัดกาญจนบุรี ร่วมกับ นายกฤษฎา ประยูรไทย นายกเทศมนตรีตำบลท่ามะขาม ผู้อำนวยการโรงเรียนพลเมือง สถาบันพระปกเกล้า จังหวัดกาญจนบุรี จัดพิธีเปิดโรงเรียนพลเมือง สถาบันพระปกเกล้า ตำบลท่ามะขาม จังหวัดกาญจนบุรี รุ่นที่ 7 ณ ห้องเรียนห้องประชุมเทศบาลตำบลท่ามะขาม อ.เมือง จ.กาญจนบุรี

ในพิธีเปิดนี้ ร้อยโททศพล ไชยโกมินทร์ ผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี ที่ปรึกษาศูนย์พัฒนาการเมืองภาคพลเมือง สถาบันพระปกเกล้า จังหวัดกาญจนบุรี มอบหมายให้ นายวุฒิพงษ์ สุภัควนิช รองผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี เป็นประธานในพิธีเปิดโรงเรียนพลเมือวงสถาบันพระปกเกล้า ตำบลท่ามะขาม จังหวัดกาญจนบุรี มีนักเรียนโรงเรียนพลเมืองฯ รุ่นที่ 7 เข้าพิธีเปิดฯนี้ จำนวน 46 คน จากผู้สมัครเรียนจำนวน 54 คน

หลังจากมีพิธีเปิดโรงเรียนพลเมือง สถาบันพระปกเกล้าตำบลท่ามะขาม รุ่นที่ 7 อย่างเป็นทางการแล้ว ได้เรียนในวิชาแรกตามหลักสูตรสถาบันพระปกเกล้ากำหนดในวิชาแกนหลัก “วิชาการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” โดยได้รับเกียรติจากอาจารย์สมชาย เจริญกิจ ประธานสาขาวิชานิติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี เป็นวิทยากรผู้สอน โดยได้รับการสนับสนุนจาก ผศ.จรายุทธ์ ประทีปวรกาญจน์ รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี กรรมการฝ่ายส่งเสริมวิชาการศูนย์พัฒนาการเมืองภาคพลเมือง สถาบันพระปกเกล้า จังหวัดกาญจนบุรี

สำหรับการเรียนการสอนโรงเรียนพลเมือง สถาบันพระปกเกล้า ตำบลท่ามะขาม จังหวัดกาญจนบุรี เรียนในวันเสาร์และวันอาทิตย์ รวม 18 วิชา ที่ห้องเรียนเทศบาลตำบลท่ามะขาม อ.เมือง จ.กาญจนบุรี และจบหลักสูตรในเดือนกรกฏาคม 2567 และผู้ที่เรียนจบครบหลักสูตร จะได้รับใบประกาศเกียรติบัตรของสถาบันพระปกเกล้า ผู้ที่เข้าเรียนหลักสูตรโรงเรียนพลเมือง ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด

ข่าวภูมิภาคกาญจนบุรี / ปรีชา ไหลวารินทร์

งานดีปีละครั้ง! งานประกวดพระหลวงพ่อพุฒ วัดกลางบางพระ นครชัยศรี

  เมื่อวันที่ 26 เมษายน 67 ที่วัดกลางบางพระ หลวงพ่อสมหวัง อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม นายเทิดศักดิ์ นัดสูงวงศ์ ไวยาวัจกรวัดกลางบางพระ เปิดเผยว่า คณะศิษย์หลวงพ่อพุฒ อดีตเจ้าอาวาสวัดกลางบางพระ ขอเชิญร่วมงาน “นิทรรศการงานประกวดพระบูชา พระเครื่อง และเหรียญคณาจารย์ พระครูสุนทรวุฒิคุณ(หลวงพ่อพุฒ สุนฺทโร)

ในวันอาทิตย์ที่ 28 เมษายน 2567 (จัดงานวันเดียว) โดยมีจุดประสงค์ในการจัดงาน ดังนี้ 1.เพื่ออนุรักษ์ วัตถุมงคล พระครูสุนทรวุฒิคุณ(หลวงพ่อพุฒ สุนฺทโร) และเผยแผ่ให้อนุชน คนรุ่นหลังได้ศึกษา 2.และยังมอบเงินหลังจากหักค่าใช้จ่ายในการจัดงาน ให้กับมูลนิธิหลวงพ่อสมหวังวัดกลางบางพระ เพทาอสนับสนุนกิจกรรม “11 โครงการงานสาธารณสงเคราะห์ วัดกลางบางพระ” ให้นำไปช่วยเหลือประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุสาธารณภัย ต่อไป

ทั้งนี้นิทรรศการงานประกวดพระบูชา พระเครื่อง และเหรียญคณาจารย์ พระครูสุนทรวุฒิคุณ (หลวงพ่อพุฒ สุนฺทโร) จัดพร้อมงาน ไหว้พระปิดทองกราบขอพรหลวงพ่อสมหวัง โดยจะจัดประกวดพระในวันสุดท้าย (28 เมษายน) ปีละครั้ง ทั้งมีสถานที่รองรับในการตั้งแผงพระในวันที่ 28 เมษายน 67 ค่าใช้จ่ายทำบุญกับทางวัดตามกำลังศรัทธาตั้งแต่เวลา 8.00 – 20.00 น.

ราชบุรี – แล้งหนัก ต.ยางหัก ปากท่อ ต้นผลไม้เงาะ ทุเรียน โกโก้ ยืนต้นตาย

จังหวัดราชบุรี เจอภาวะแล้งหนัก ที่ ต.ยางหัก ทั้งตำบลผลไม้เงาะ ทุเรียน โกโก้ ยืนต้นตาย ชาวบ้านต้องจ้างรถขุดเบ้าขนมครกหาแหล่งน้ำ


เกษตรกรชาว ต.ยางหัก อ.ปากท่อ จ.ราชบุรี ต้องซื้อน้ำรดต้นทุเรียนและผลไม้อื่น ๆ หลังเจอภัยแล้งหนักสุด ต้นทุเรียนนับร้อยต้นยืนต้นแห้งเหี่ยวตาย เจ้าของสวนลงทุนจ้างรถมาขุดหลุมเบ้าขนมครกหวังให้มีน้ำซึมใช้อุปโภค วอนฝนหลวงช่วยเหลือแก้ปัญหาภัยแล้ง พร้อมหาแนวทางแก้ไขระยะยาว


วันที่ 26 เม.ย. 67  แจ้งว่าพื้นที่ ต.ยางหัก อ.ปากท่อ จ.ราชบุรี เป็นอีกอำเภอหนึ่งที่ กำลังประสบปัญหาไฟป่า และภัยแล้งซ้ำซากทุกปี จากการสำรวจพื้นที่หลายหมู่บ้านได้รับผลกระทบอย่างหนักในรอบหลายปีที่ผ่านมา เนื่องจากสภาพปัญหาปีนี้ฝนทิ้งช่วง แม้ทางอาสาสมัครฝนหลวงอำเภอปากท่อ ได้ประสานหน่วยปฏิบัติการฝนหลวงภาคใต้ เพื่อขอรับการสนับสนุนทำฝนหลวงช่วย แต่ติดปัญหาอุปสรรคเรื่องสภาพอากาศและภูมิประเทศ บางจุดมีภูเขาสูงชัน

  เจ้าหน้าที่หน่วยปฏิบัติการฝนหลวงภาคใต้ เคยมาสำรวจพื้นที่แล้วพบว่าเป็นพื้นที่อับฝน อีกทั้งความชื้นไม่เพียงพอต่อการทำฝนเทียม ทำให้ยากลำบากในการบินขึ้นปฏิบัติการช่วยเหลือเกษตรกรในพื้นที่ได้ ทำให้ขณะนี้พื้นที่ตำบลยางหักรวม 8 หมู่บ้าน และพื้นที่ตำบลห้วยยางโทน ได้รับผลกระทบ พืชผัก ผลไม้ทางการเกษตรเหี่ยวแห้งตายคาต้น โดยเฉพาะต้นทุเรียนนับร้อยต้นมีอายุประมาณ 4 – 7 ปี ในสวนของเกษตรกรหมู่ที่ 5 ต.ยางหัก ซึ่งอยู่ระหว่างกำลังออกดอก ติดลูกเริ่มร่วงหล่น ต้นมังคุด เงาะ ลองกอง กระท้อน สภาพใบแห้งเหี่ยวร่วงตายเกือบยกสวน เจ้าของสวนหลายคนได้กัดฟันทนสู้ใช้เงินตัวเองไปว่าจ้างซื้อน้ำมารดต้นผลไม้ หวังให้มีชีวิตรอดเท่าที่จะสามารถทำได้ แต่สุกท้ายเงินหมดไม่มีค่าจ้างรถน้ำก็ต้องปล่อยยืนต้นตายตามสะภาพที่เห็น


นายวีระ บัวทอง อายุ 64 ปี อยู่บ้านเลขที่ 13/2 หมู่ 5 ต.ยางหัก อ.ปากท่อ กล่าวว่า ปีนี้เกิดปัญหาภัยแล้งที่สุด อย่างทุเรียนออกลูกมาก็ร่วงหล่นจากการเจอความร้อนมาก ๆ ต่อไปต้นก็จะตายลงอีก คาดว่าจะตายมากกว่า 30 ต้น และอยู่ระหว่างรอการตายอีกเป็นร้อยต้น น้ำในบ่อที่กักเก็บไว้ก็แห้งหมดแล้ว สู้ไม่ไหวจริง ๆ อยากให้ภาครัฐช่วยทำฝนหลวงช่วยเหลือ ถ้ามาช่วยขุดเจาะบ่อบาดาลส่วนกลางเอาไว้ก็น่าจะดีมาก ตอนนี้ผลไม้อื่น ๆ ที่ปลูกไว้ประมาณ 20 ไร่ เสียหายไปเกือบทั้งสวน


นายอนุสรณ์ ฤทธิ์ล้ำ ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 5 กล่าวว่า ตามปกติจะเกิดปัญหาภัยแล้งประจำปีอยู่ แต่ปีนี้แล้งมากขนาดน้ำที่เคยเก็บกับไว้ เคยช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ปีนี้มีการหวงน้ำ จากพื้นที่รวม 8 หมู่บ้าน รถส่วนกลางจะไปดูดน้ำเพื่อนำออกแจกจ่ายช่วยเหลือชาวบ้านก็ยังไม่ได้น้ำมาช่วย เพราะมีการหวงน้ำกัน บางจุดมีการดูดน้ำเพื่อมาหล่อเลี้ยงต้นทุเรียน และผลไม้อื่น ๆ ไว้ก็ยังไม่รู้ว่าจะรอดตายหรือไม่ ภาพรวมมีความเสียหายแน่นอน จากการสืบถามผู้ใหญ่ทุกหมู่บ้านเกิดปัญหาเหมือนกันทุกหมู่บ้าน ตอนนี้ทางเจ้าหน้าที่หน่วยปฏิบัติการฝนหลวงภาคใต้มาช่วย ถ้าความชื้นมากพอก็จะได้มีฝนมาช่วยเหลือ ส่วนการแก้ไขระยะยาวอยากให้เกษตรกรประสานงานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการขุดเบ้าขนมครก เพื่อรองรับน้ำไว้ ที่ผ่านมาเห็นตะกอนทรายลงมาทับถมแหล่งน้ำเบ้าขนมครกที่เคยเก็บกักน้ำ ถ้ามีเบ้าเป็นขั้นบันไดลงไปทุกลำห้วยจะเป็นการช่วยเหลือพื้นที่ระยะยาวได้

   ซึ่งได้รับประสานงานและตอบรับจากสำนักงานทรัพยากรน้ำ และกรมชลประทานที่จะเร่งดำเนินการขุดลอกอ่างเก็บน้ำบ้านไทยประจัน อีกส่วนเป็นสระเนื้อที่ 10 ไร่ บ้านไทยประจัน ของกรมทรัพยากรน้ำที่มีปัญหาน้ำแห้งขอด ขอให้ดำเนินการขุดลอกให้ลึกและกว้างมากขึ้น ตอนนี้เกษตรกรสิ้นหวังหมดแล้ว หลังจากเคยได้เงินจากการขายทุเรียนเมื่อปีที่แล้ว แต่ปีนี้ฝันได้สลายไม่เหลือแม้แต่ต้นก็แทบจะตายหมดยกสวน
นางประทุม จิตจันทึก อายุ 63 ปี อยู่บ้านเลขที่ 43 หมู่ 5 กล่าวว่า เคยมีปัญหาภัยแล้ง แต่จะมีฝนตกมาเร็ว มาปีนี้กลับไม่มีฝนตกมีแต่แดดแรงกว่าทุกปี ที่สวนคาดว่าน่าจะตายเกือบร้อยต้น ขณะที่ได้ลงทุนไปซื้อน้ำมารดต้นเงาะ ทุเรียน มังคุด โกโก้ ฝรั่ง กล้วย ยังมีผักกูดที่เก็บขายก็ตายหมด อยากให้หน่วยงานช่วยทำอย่างไรก็ได้ให้มีน้ำใช้


นายนพรัตน์ จั่นสำอางค์ ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านหมู่ 5 กล่าวว่า สระแห่งนี้ถือเป็นหัวใจอยู่กลางหมู่บ้าน มีสระโรงเรียน สระวัด สระกศน. ที่เป็นแก้มลิงเป็นที่เก็บน้ำของอ่างเก็บน้ำบ้านไทยประจันซึ่งจะหมดเป็นอ่างแรก สระนี้จะหมดเป็นจุดสุดท้าย ทางผู้นำชุมชนและชาวบ้านต้องการให้หน่วยงานมาขุดลอกเพื่อเก็บน้ำไว้ให้มากที่สุด เป็นแหล่งสุดท้ายที่ชาวบ้านจะได้มีน้ำใช้
นายสมบัติ ชื่นสกุล ประธานผู้ใช้น้ำประปาหมู่บ้าน กล่าวว่า ตอนนี้บ่อที่ใช้ทำน้ำประปาเปิดได้เพียงเวลาเดียวคือ เวลา 17.00 น. ส่วนประมาณ 18.00 น. น้ำหมดถังแล้ว อุปโภคได้อย่างเดียว บริโภคไม่ได้ มีชาวบ้าน กว่า 300 ครัวเรือน แต่ใช้น้ำได้กว่า 100 ครัวเรือน มีปัญหาเรื่องน้ำบาดาลที่ตื้นเขิน ยังไม่มีหน่วยงานเข้ามาตรวจสอบดูแลแก้ไขแต่อย่างใด
นายพงษ์ทวี หนูจั่น ชาวสวนทุเรียน มังคุด อยู่บ้านเลขที่ 153/1 หมู่ 5 กล่าวว่า ร่วมกับเพื่อนบ้านรวม 3 ครอบครัว ได้จ้างรถแบ็กโฮ ชั่วโมงละ 1,800 บาท มาขุดเบ้าขนมครก เพื่อให้น้ำใต้ดินซึมออกมาใช้อุปโภคได้ เพราะน้ำในลำห้วยแห้งขอดมา 3 เดือนแล้ว โดยรวมเงินกันจ้างรถมาขุด 3 ครัวเรือนแบ่งน้ำกันใช้ เพื่อประคองต้นไม้ได้เล็กน้อย คาดว่าหลังขุดน้ำก็จะค่อยซึมออกมาทิ้งไว้ประมาณ 24 – 48 ชม.น่าจะดูดขึ้นมาใช้ได้ระยะสั้น ประมาณ 1 – 2 ชม.แล้วก็ต้องรอต่อรอบใหม่ให้น้ำออกมาเพิ่มอีก


ภาพ-ข่าว พันธุ์ – จรรยา แก้วนุ้ย จ.ราชบุรี

เจ้าหน้าที่ป่าไม้-ตร.ปทส.ฝ่ายปกครอง ล่าระทึก 3 มอดไม้ วิ่งหนีชีวิตสุดท้ายรอดเพราะน้องหมา ยึดของกลางเพียบ

เจ้าหน้าที่ป่าไม้-ตร.ปทส.ฝ่ายปกครอง ล่าระทึก 3 มอดไม้ วิ่งหนีสุดชีวิตสุดท้ายรอดเพราะน้องหมา ยึดของกลางเพียบ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เวลา 15.00 น.ของวันที่ 23 เม.ย.67 นายไพโรจน์ เขียวแก้ว หัวหน้าหน่วยป้องกันรักษาป่าที่ กจ.7(บ้องตี้) อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี ได้รับแจ้งจากพลเมืองดีว่า พบขบวนการลักลอบทำไม้บนเขากลางป่าท้องที่บ้านทุ่งฉาง หมู่ 4 ต.ศรีมงคล อ.ไทรโยค หลังรับแจ้งจึงรายงานให้นายประทีป เหิมพยัคฆ์ ผู้อำนวยการสำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 10 (ราชบุรี) ทราบ จากนั้นเร่งประสาน เจ้าหน้าที่หน่วยป้องกันรักษาป่าที่ กจ.7(บ้องตี้)เจ้าหน้าที่หน่วยป้องกันรักษาป่าที่ กจ.1 (ท่าเสา) เจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการพิเศษป่าไม้กาญจนบุรี รวมทั้ง เจ้าหน้าที่ กก.5 บก.ปทส.เจ้าหน้าที่ ตร.ชป.ศปทส.ภาค 7 เจ้าหน้าที่ทหารหน่วยเฉพาะกิจลาดหญ้า กกล.สุรสีห์ เจ้าหน้าที่กองร้อยทหารพรานที่ 1404 และเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง อ.ไทรโยค โดยนายเนรมิต เหลืองอร่ามฟ้า นายอำเภอไทรโยค นำกำลังเดินทางไปตรวจสอบตามพิกัดที่ได้รับแจ้ง แต่เนื่องจากเส้นทางดังกล่าวเป็นป่าและภูเขาที่สูงชัน เจ้าหน้าที่จึงต้องออกปฏิบัติหน้าที่ด้วยการเดินเท้าขึ้นไปบนภูเขาด้วยความระมัดระวัง

จนกระทั่งเวลา 17.30 น.เจ้าหน้าที่พบร่อยรอยของรถยนต์สภาพใหม่ขับขึ้นไปตามแนวเขาที่อยู่ท้ายเหมืองแห่งหนึ่ง เจ้าหน้าที่จึงแกะรอยตามไป ระหว่างเส้นทางเจ้าหน้าที่พบต้นไม้ขนาดเล็กสภาพใหม่ถูกดันล้มคาตอ ระหว่างนั้นเจ้าหน้าที่ได้เสียงเครื่องยนต์คล้ายเสียงของเครื่องสูบน้ำดังมาจากบนยอดเขา เจ้าหน้าที่จึงได้กระจายกำลังเข้าตรวจสอบ จนกระทั่งไปถึงพบชาย 3 คน กำลังร่วมกันใช้เลื่อนโซ่ยนต์ดัดแปลงที่ใช้เครื่องปั่นไฟเป็นเครื่องต้นกำลังแปรรูปไม้อยู่

เจ้าหน้าที่จึงแสดงตัวพร้อมส่งสัญญาณให้ทุกคนหยุด แต่เมื่อชายทั้ง 3 คนเห็นเจ้าหน้าที่จึงได้พยายามวิ่งหลบหนีไปอย่างไม่คิดชีวิต เจ้าหน้าที่จึงตัดสินใจใช้อาวุธปืนยิงขึ้นฟ้าเพื่อเป็นการขู่แต่ชายทั้ง 3 คนก็ไม่สนใจ ระหว่างเจ้าหน้าที่พยายามวิ่งติดตามก็มาถูกสุนัขที่ชายทั้ง 3 คนนำมาด้วยวิ่งไล่กัด จึงเป็นสาเหตุทำให้ชายทั้ง 3 คนสามารถวิ่งหลบหนีการจับกุมไปได้

จากการตรวจสอบโดยรอบ พบ 1.ไม้ประดู่แปรรูป จำนวน 21 แผ่น ปริมาตร 3.886 ลบ.ม. 2.รถจี๊ปป่า 6 ล้อ ติดตั้งรอกพร้อมสลิง จำนวน 1 คัน 3.เครื่องกำเนิดไฟฟ้า ขนาด 7 แรงม้า จำนวน 1 เครื่อง 4.เลื่อยโซ่ยนต์ไฟฟ้าดัดแปลงเลื่อยหินเจียร์ไฟฟ้า จำนวน 1 เครื่อง 5.เลื่อยโซ่ยนต์พร้อมบาร์ ยาว 22 นิ้ว 6.ตู้เชื่อมไฟฟ้า จำนวน 1 เครื่อง พร้อมสายไฟยาว 10 เมตร 7.ขวานเหล็ก จำนวน 1 ด้าม 8.อาวุธปืนลูกซองยาว ขนาดเบอร์ 12 จำนวน 1 กระบอก 9.กระสุนปืนลูกซองขนาดเบอร์ 12 จำนวน 2 นัด 10.อาวุธปืนยาวขนาด .22 จำนวน 1 กระบอก 11.อาวุธปืนยาวไม่ทราบยี่ห้อ ขนาด .22 จำนวน 1 กระบอก และ 12.โทรศัพท์มือถือ จำนวน 3 เครื่อง เจ้าหน้าที่จึงตรวจยึดเอาไว้เป็นของกลาง โดยจุดเกิดเหตุอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ “ป่าวังใหญ่และป่าแม่น้ำน้อย”

แต่เนื่องจากเวลาดังกล่าวค่ำมืดแล้ว ทำให้เจ้าหน้าที่ไม่สามารถเคลื่อนย้ายของกลางที่เป็นไม้ขนาดใหญ่รวมทั้งรถจิ๊ปและเครื่องกำเนิดไฟฟ้าที่มีขนาดใหญ่และมีน้ำมากลงมาได้ เพราะเป็นเส้นทางที่ลาดชันสองทางเดินเป็นป่าและหุบเหวลึก เจ้าหน้าที่จึงจัดกำลังเฝ้าของกลางเอาไว้ตลอดทั้งคืน

จนกระทั่งเวลา 10.00 น.ของวันที่ 24 เม.ย.นายไพโรจน์ เขียวแก้ว หัวหน้าหน่วยป้องกันรักษาป่าที่ กจ.7(บ้องตี้) พร้อมเจ้าหน้าที่ได้เข้าตรวจสอบพื้นที่โดยรอบเพื่อหาสิ่งผิดกฎหมายอย่างละเอียดอีกครั้งหนึ่ง ผลปรากฏพบตอไม้ประดูความโตขนาด 200 เซนติเมตร และ 300 เซนติเมตร สภาพใหม่อยู่กลางหุบเขาลึกลงไปประมาณ 100 เมตร โดยมีร่องรอยการชักลากต้นไม้ขึ้นมาแปรรูปอยู่บนยอดเขาบริเวณที่ตรวจพบของกลางข้างต้น โดยเบื้องต้นไม้ของกลางที่ตรวจยึดเอาไว้ได้มีมูลค่าประมาณ 272,000 บาท โดยเจ้าหน้าที่ได้ทำการดวงตราตีประทับเอาไว้หมดแล้ว

ล่าสุดวันนี้ 25 เม.ย.67 คณะเจ้าหน้าที่ได้ร่วมกันเคลื่อนย้ายของกลางทั้งหมดไปเก็บรักษาเอาไว้ที่หน่วยป้องกันรักษาป่าที่ กจ.7(บ้องตี้)เป็นที่เรียบร้อย จากนั้นจึงจดทำบันทึกเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดส่งพนักงานสอบสวน สภ.ไทรโยค เพื่อทำการสืบสวนสอบสวนในการติดตามตัวผู้กระทำผิดกฎหมายมาดำเนินคดีต่อไป

ชมคลิป.https://drive.google.com/file/d/1bygQ7wf8givQa1rd5vN3u83hHUbrX7DE/view?usp=drivesdk

ขอขอบคุณ ภาพ-ข่าว ปรีชา ไหลวารินทร์ กาญจนบุรี,เจ้าหน้าที่หน่วยป้องกันรักษาป่าที่ กจ.7 (บ้องตี้) อ.ไทรโยค

เจ้าหน้าที่ป่าไม้-ตร.ปทส.ฝ่ายปกครอง ล่าระทึก 3 มอดไม้ วิ่งหนีชีวิตสุดท้ายรอดเพราะน้องหมา ยึดของกลางเพียบ

เจ้าหน้าที่ป่าไม้-ตร.ปทส.ฝ่ายปกครอง ล่าระทึก 3 มอดไม้ วิ่งหนีสุดชีวิตสุดท้ายรอดเพราะน้องหมา ยึดของกลางเพียบ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เวลา 15.00 น.ของวันที่ 23 เม.ย.67 นายไพโรจน์ เขียวแก้ว หัวหน้าหน่วยป้องกันรักษาป่าที่ กจ.7(บ้องตี้) อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี ได้รับแจ้งจากพลเมืองดีว่า พบขบวนการลักลอบทำไม้บนเขากลางป่าท้องที่บ้านทุ่งฉาง หมู่ 4 ต.ศรีมงคล อ.ไทรโยค หลังรับแจ้งจึงรายงานให้นายประทีป เหิมพยัคฆ์ ผู้อำนวยการสำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 10 (ราชบุรี) ทราบ จากนั้นเร่งประสาน เจ้าหน้าที่หน่วยป้องกันรักษาป่าที่ กจ.7(บ้องตี้)เจ้าหน้าที่หน่วยป้องกันรักษาป่าที่ กจ.1 (ท่าเสา) เจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการพิเศษป่าไม้กาญจนบุรี รวมทั้ง เจ้าหน้าที่ กก.5 บก.ปทส.เจ้าหน้าที่ ตร.ชป.ศปทส.ภาค 7 เจ้าหน้าที่ทหารหน่วยเฉพาะกิจลาดหญ้า กกล.สุรสีห์ เจ้าหน้าที่กองร้อยทหารพรานที่ 1404 และเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง อ.ไทรโยค โดยนายเนรมิต เหลืองอร่ามฟ้า นายอำเภอไทรโยค นำกำลังเดินทางไปตรวจสอบตามพิกัดที่ได้รับแจ้ง แต่เนื่องจากเส้นทางดังกล่าวเป็นป่าและภูเขาที่สูงชัน เจ้าหน้าที่จึงต้องออกปฏิบัติหน้าที่ด้วยการเดินเท้าขึ้นไปบนภูเขาด้วยความระมัดระวัง

จนกระทั่งเวลา 17.30 น.เจ้าหน้าที่พบร่อยรอยของรถยนต์สภาพใหม่ขับขึ้นไปตามแนวเขาที่อยู่ท้ายเหมืองแห่งหนึ่ง เจ้าหน้าที่จึงแกะรอยตามไป ระหว่างเส้นทางเจ้าหน้าที่พบต้นไม้ขนาดเล็กสภาพใหม่ถูกดันล้มคาตอ ระหว่างนั้นเจ้าหน้าที่ได้เสียงเครื่องยนต์คล้ายเสียงของเครื่องสูบน้ำดังมาจากบนยอดเขา เจ้าหน้าที่จึงได้กระจายกำลังเข้าตรวจสอบ จนกระทั่งไปถึงพบชาย 3 คน กำลังร่วมกันใช้เลื่อนโซ่ยนต์ดัดแปลงที่ใช้เครื่องปั่นไฟเป็นเครื่องต้นกำลังแปรรูปไม้อยู่

เจ้าหน้าที่จึงแสดงตัวพร้อมส่งสัญญาณให้ทุกคนหยุด แต่เมื่อชายทั้ง 3 คนเห็นเจ้าหน้าที่จึงได้พยายามวิ่งหลบหนีไปอย่างไม่คิดชีวิต เจ้าหน้าที่จึงตัดสินใจใช้อาวุธปืนยิงขึ้นฟ้าเพื่อเป็นการขู่แต่ชายทั้ง 3 คนก็ไม่สนใจ ระหว่างเจ้าหน้าที่พยายามวิ่งติดตามก็มาถูกสุนัขที่ชายทั้ง 3 คนนำมาด้วยวิ่งไล่กัด จึงเป็นสาเหตุทำให้ชายทั้ง 3 คนสามารถวิ่งหลบหนีการจับกุมไปได้

จากการตรวจสอบโดยรอบ พบ 1.ไม้ประดู่แปรรูป จำนวน 21 แผ่น ปริมาตร 3.886 ลบ.ม. 2.รถจี๊ปป่า 6 ล้อ ติดตั้งรอกพร้อมสลิง จำนวน 1 คัน 3.เครื่องกำเนิดไฟฟ้า ขนาด 7 แรงม้า จำนวน 1 เครื่อง 4.เลื่อยโซ่ยนต์ไฟฟ้าดัดแปลงเลื่อยหินเจียร์ไฟฟ้า จำนวน 1 เครื่อง 5.เลื่อยโซ่ยนต์พร้อมบาร์ ยาว 22 นิ้ว 6.ตู้เชื่อมไฟฟ้า จำนวน 1 เครื่อง พร้อมสายไฟยาว 10 เมตร 7.ขวานเหล็ก จำนวน 1 ด้าม 8.อาวุธปืนลูกซองยาว ขนาดเบอร์ 12 จำนวน 1 กระบอก 9.กระสุนปืนลูกซองขนาดเบอร์ 12 จำนวน 2 นัด 10.อาวุธปืนยาวขนาด .22 จำนวน 1 กระบอก 11.อาวุธปืนยาวไม่ทราบยี่ห้อ ขนาด .22 จำนวน 1 กระบอก และ 12.โทรศัพท์มือถือ จำนวน 3 เครื่อง เจ้าหน้าที่จึงตรวจยึดเอาไว้เป็นของกลาง โดยจุดเกิดเหตุอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ “ป่าวังใหญ่และป่าแม่น้ำน้อย”

แต่เนื่องจากเวลาดังกล่าวค่ำมืดแล้ว ทำให้เจ้าหน้าที่ไม่สามารถเคลื่อนย้ายของกลางที่เป็นไม้ขนาดใหญ่รวมทั้งรถจิ๊ปและเครื่องกำเนิดไฟฟ้าที่มีขนาดใหญ่และมีน้ำมากลงมาได้ เพราะเป็นเส้นทางที่ลาดชันสองทางเดินเป็นป่าและหุบเหวลึก เจ้าหน้าที่จึงจัดกำลังเฝ้าของกลางเอาไว้ตลอดทั้งคืน

จนกระทั่งเวลา 10.00 น.ของวันที่ 24 เม.ย.นายไพโรจน์ เขียวแก้ว หัวหน้าหน่วยป้องกันรักษาป่าที่ กจ.7(บ้องตี้) พร้อมเจ้าหน้าที่ได้เข้าตรวจสอบพื้นที่โดยรอบเพื่อหาสิ่งผิดกฎหมายอย่างละเอียดอีกครั้งหนึ่ง ผลปรากฏพบตอไม้ประดูความโตขนาด 200 เซนติเมตร และ 300 เซนติเมตร สภาพใหม่อยู่กลางหุบเขาลึกลงไปประมาณ 100 เมตร โดยมีร่องรอยการชักลากต้นไม้ขึ้นมาแปรรูปอยู่บนยอดเขาบริเวณที่ตรวจพบของกลางข้างต้น โดยเบื้องต้นไม้ของกลางที่ตรวจยึดเอาไว้ได้มีมูลค่าประมาณ 272,000 บาท โดยเจ้าหน้าที่ได้ทำการดวงตราตีประทับเอาไว้หมดแล้ว

ล่าสุดวันนี้ 25 เม.ย.67 คณะเจ้าหน้าที่ได้ร่วมกันเคลื่อนย้ายของกลางทั้งหมดไปเก็บรักษาเอาไว้ที่หน่วยป้องกันรักษาป่าที่ กจ.7(บ้องตี้)เป็นที่เรียบร้อย จากนั้นจึงจดทำบันทึกเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดส่งพนักงานสอบสวน สภ.ไทรโยค เพื่อทำการสืบสวนสอบสวนในการติดตามตัวผู้กระทำผิดกฎหมายมาดำเนินคดีต่อไป

ชมคลิป.https://drive.google.com/file/d/1bygQ7wf8givQa1rd5vN3u83hHUbrX7DE/view?usp=drivesdk

ขอขอบคุณ ภาพ-ข่าว ปรีชา ไหลวารินทร์ กาญจนบุรี,เจ้าหน้าที่หน่วยป้องกันรักษาป่าที่ กจ.7 (บ้องตี้) อ.ไทรโยค

เจ้าหน้าที่ป่าไม้-ตร.ปทส.ฝ่ายปกครอง ล่าระทึก 3 มอดไม้ วิ่งหนีชีวิตสุดท้ายรอดเพราะน้องหมา ยึดของกลางเพียบ

เจ้าหน้าที่ป่าไม้-ตร.ปทส.ฝ่ายปกครอง ล่าระทึก 3 มอดไม้ วิ่งหนีสุดชีวิตสุดท้ายรอดเพราะน้องหมา ยึดของกลางเพียบ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เวลา 15.00 น.ของวันที่ 23 เม.ย.67 นายไพโรจน์ เขียวแก้ว หัวหน้าหน่วยป้องกันรักษาป่าที่ กจ.7(บ้องตี้) อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี ได้รับแจ้งจากพลเมืองดีว่า พบขบวนการลักลอบทำไม้บนเขากลางป่าท้องที่บ้านทุ่งฉาง หมู่ 4 ต.ศรีมงคล อ.ไทรโยค หลังรับแจ้งจึงรายงานให้นายประทีป เหิมพยัคฆ์ ผู้อำนวยการสำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 10 (ราชบุรี) ทราบ จากนั้นเร่งประสาน เจ้าหน้าที่หน่วยป้องกันรักษาป่าที่ กจ.7(บ้องตี้)เจ้าหน้าที่หน่วยป้องกันรักษาป่าที่ กจ.1 (ท่าเสา) เจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการพิเศษป่าไม้กาญจนบุรี รวมทั้ง เจ้าหน้าที่ กก.5 บก.ปทส.เจ้าหน้าที่ ตร.ชป.ศปทส.ภาค 7 เจ้าหน้าที่ทหารหน่วยเฉพาะกิจลาดหญ้า กกล.สุรสีห์ เจ้าหน้าที่กองร้อยทหารพรานที่ 1404 และเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง อ.ไทรโยค โดยนายเนรมิต เหลืองอร่ามฟ้า นายอำเภอไทรโยค นำกำลังเดินทางไปตรวจสอบตามพิกัดที่ได้รับแจ้ง แต่เนื่องจากเส้นทางดังกล่าวเป็นป่าและภูเขาที่สูงชัน เจ้าหน้าที่จึงต้องออกปฏิบัติหน้าที่ด้วยการเดินเท้าขึ้นไปบนภูเขาด้วยความระมัดระวัง

จนกระทั่งเวลา 17.30 น.เจ้าหน้าที่พบร่อยรอยของรถยนต์สภาพใหม่ขับขึ้นไปตามแนวเขาที่อยู่ท้ายเหมืองแห่งหนึ่ง เจ้าหน้าที่จึงแกะรอยตามไป ระหว่างเส้นทางเจ้าหน้าที่พบต้นไม้ขนาดเล็กสภาพใหม่ถูกดันล้มคาตอ ระหว่างนั้นเจ้าหน้าที่ได้เสียงเครื่องยนต์คล้ายเสียงของเครื่องสูบน้ำดังมาจากบนยอดเขา เจ้าหน้าที่จึงได้กระจายกำลังเข้าตรวจสอบ จนกระทั่งไปถึงพบชาย 3 คน กำลังร่วมกันใช้เลื่อนโซ่ยนต์ดัดแปลงที่ใช้เครื่องปั่นไฟเป็นเครื่องต้นกำลังแปรรูปไม้อยู่

เจ้าหน้าที่จึงแสดงตัวพร้อมส่งสัญญาณให้ทุกคนหยุด แต่เมื่อชายทั้ง 3 คนเห็นเจ้าหน้าที่จึงได้พยายามวิ่งหลบหนีไปอย่างไม่คิดชีวิต เจ้าหน้าที่จึงตัดสินใจใช้อาวุธปืนยิงขึ้นฟ้าเพื่อเป็นการขู่แต่ชายทั้ง 3 คนก็ไม่สนใจ ระหว่างเจ้าหน้าที่พยายามวิ่งติดตามก็มาถูกสุนัขที่ชายทั้ง 3 คนนำมาด้วยวิ่งไล่กัด จึงเป็นสาเหตุทำให้ชายทั้ง 3 คนสามารถวิ่งหลบหนีการจับกุมไปได้

จากการตรวจสอบโดยรอบ พบ 1.ไม้ประดู่แปรรูป จำนวน 21 แผ่น ปริมาตร 3.886 ลบ.ม. 2.รถจี๊ปป่า 6 ล้อ ติดตั้งรอกพร้อมสลิง จำนวน 1 คัน 3.เครื่องกำเนิดไฟฟ้า ขนาด 7 แรงม้า จำนวน 1 เครื่อง 4.เลื่อยโซ่ยนต์ไฟฟ้าดัดแปลงเลื่อยหินเจียร์ไฟฟ้า จำนวน 1 เครื่อง 5.เลื่อยโซ่ยนต์พร้อมบาร์ ยาว 22 นิ้ว 6.ตู้เชื่อมไฟฟ้า จำนวน 1 เครื่อง พร้อมสายไฟยาว 10 เมตร 7.ขวานเหล็ก จำนวน 1 ด้าม 8.อาวุธปืนลูกซองยาว ขนาดเบอร์ 12 จำนวน 1 กระบอก 9.กระสุนปืนลูกซองขนาดเบอร์ 12 จำนวน 2 นัด 10.อาวุธปืนยาวขนาด .22 จำนวน 1 กระบอก 11.อาวุธปืนยาวไม่ทราบยี่ห้อ ขนาด .22 จำนวน 1 กระบอก และ 12.โทรศัพท์มือถือ จำนวน 3 เครื่อง เจ้าหน้าที่จึงตรวจยึดเอาไว้เป็นของกลาง โดยจุดเกิดเหตุอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ “ป่าวังใหญ่และป่าแม่น้ำน้อย”

แต่เนื่องจากเวลาดังกล่าวค่ำมืดแล้ว ทำให้เจ้าหน้าที่ไม่สามารถเคลื่อนย้ายของกลางที่เป็นไม้ขนาดใหญ่รวมทั้งรถจิ๊ปและเครื่องกำเนิดไฟฟ้าที่มีขนาดใหญ่และมีน้ำมากลงมาได้ เพราะเป็นเส้นทางที่ลาดชันสองทางเดินเป็นป่าและหุบเหวลึก เจ้าหน้าที่จึงจัดกำลังเฝ้าของกลางเอาไว้ตลอดทั้งคืน

จนกระทั่งเวลา 10.00 น.ของวันที่ 24 เม.ย.นายไพโรจน์ เขียวแก้ว หัวหน้าหน่วยป้องกันรักษาป่าที่ กจ.7(บ้องตี้) พร้อมเจ้าหน้าที่ได้เข้าตรวจสอบพื้นที่โดยรอบเพื่อหาสิ่งผิดกฎหมายอย่างละเอียดอีกครั้งหนึ่ง ผลปรากฏพบตอไม้ประดูความโตขนาด 200 เซนติเมตร และ 300 เซนติเมตร สภาพใหม่อยู่กลางหุบเขาลึกลงไปประมาณ 100 เมตร โดยมีร่องรอยการชักลากต้นไม้ขึ้นมาแปรรูปอยู่บนยอดเขาบริเวณที่ตรวจพบของกลางข้างต้น โดยเบื้องต้นไม้ของกลางที่ตรวจยึดเอาไว้ได้มีมูลค่าประมาณ 272,000 บาท โดยเจ้าหน้าที่ได้ทำการดวงตราตีประทับเอาไว้หมดแล้ว

ล่าสุดวันนี้ 25 เม.ย.67 คณะเจ้าหน้าที่ได้ร่วมกันเคลื่อนย้ายของกลางทั้งหมดไปเก็บรักษาเอาไว้ที่หน่วยป้องกันรักษาป่าที่ กจ.7(บ้องตี้)เป็นที่เรียบร้อย จากนั้นจึงจดทำบันทึกเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดส่งพนักงานสอบสวน สภ.ไทรโยค เพื่อทำการสืบสวนสอบสวนในการติดตามตัวผู้กระทำผิดกฎหมายมาดำเนินคดีต่อไป

ชมคลิป.https://drive.google.com/file/d/1bNbo–dJ9Wd2OFsoVBkXx5er0mqvBJbP/view?usp=drivesdk

ขอขอบคุณ ภาพ-ข่าว ปรีชา ไหลวารินทร์ กาญจนบุรี,เจ้าหน้าที่หน่วยป้องกันรักษาป่าที่ กจ.7 (บ้องตี้) อ.ไทรโยค

กฟภ.กาญจนบุรี จับผู้ลักลอบใช้ไฟฟ้าเสียหายเกือบ 10 ล้านบาท

กฟภ.กาญจนบุรี ถูกลักลอบใช้ไฟฟ้าเสียหายเกือบ 10 ล้านบาทภายในติดแอร์เย็นฉ่ำ!! PEA ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจพบการละเมิดการใช้ไฟฟ้าในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายวัฒนา มหารมย์ ผู้จัดการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจังหวัดกาญจนบุรี พร้อมด้วย นายสมศักดิ์ นุชสาย ผู้จัดการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคสาขาเมืองกาญจนบุรี ร่วมกับ พันตำรวจเอก สุรยุทธ เมฆมังกร ผกก.สภ.เมืองกาญจนบุรี นำกำลังเจ้าหน้าที่ สภ.เมืองกาญจนบุรี และส่วนเกี่ยวข้องร่วมกันนำหมายค้นของศาลจังหวัดกาญจนบุรี เข้าตรวจค้น จุดที่ 1 หมู่บ้านพฤกษากาญจน์ ทาวน์ 2 บ้านเลขที่ 80/61 หมู่ 1 ตำบลท่ามะขาม อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี และ จุดที่ 2 บ้านเลขที่ 75 ตำบลบ้านเหนือ อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี

จากการเข้าตรวจสอบพบมีการละเมิดการใช้ไฟฟ้า โดยขณะตรวจค้นวัดค่าใช้งานรวมได้ 53 kW โดยภายในพบชุดคอมพิวเตอร์ ขุดบิทคอย จำนวนกว่า 21 เครื่อง พร้อมอุปกรณ์ประกอบหลายรายการ มูลค่าของกลางและความเสียหายในการลักลอบใช้ไฟฟ้า ทั้งสิ้นกว่า 8 ล้านบาท พร้อมทั้งนำผู้ครอบครองสถานที่ไปยัง สภ. เพื่อทำการสอบสวนและขยายผลเพื่อดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องต่อไป

การลักลอบใช้ไฟฟ้านั้น PEA สามารถตรวจพบได้จากฐานข้อมูลการใช้ไฟฟ้าของ PEA การละเมิดการใช้ไฟฟ้านอกจากจะเป็นการกระทำผิดตามกฎหมายในคดีแพ่งและอาญาแล้ว ยังเป็นการติดตั้งระบบไฟฟ้าที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐาน อาจก่อให้เกิดไฟฟ้าลัดวงจร รวมถึงเกิดเพลิงไหม้ เป็นอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินได้

สำหรับประชาชนผู้เป็นเจ้าของอาคารปล่อยเช่า ควรตรวจสอบผู้เช่าว่ามีการใช้งานอาคารในลักษณะผิดกฎหมายหรือไม่ ซึ่งหากผู้ใดพบเห็นการละเมิดการใช้ไฟฟ้าที่ผิดกฎหมาย สามารถแจ้งเบาะแสได้ที่ 1129 PEA Contact Center หรือ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคในพื้นที่

สำหรับในการเข้าตรวจสอบการลักลอบใช้กระแสไฟฟ้าในครั้ง เนื่องจากได้มีชาวบ้านในหมู่บ้านแจ้งว่า ได้สงสัยภายในห้องบ้านหลังดังกล่าว ที่ไม่มีคนอยู่อาศัยนานๆ จะมาสักครั้ง แต่เกิดมีเสียงดัง ชาวบ้านเกรงจะเกิดอันตราย จึงแจ้งการไฟฟ้าให้ตรวจสอบ และก็ไม่เคยเห็นการขนอุปกรณ์ทั้งหมดเข้าไปในช่วงเวลาใด คาดว่าน่าจะช่วงที่เพื่อนบ้านออกไปทำงานกันหมดแล้วขนเข้ามา อุปกรณ์ถึงมากมายขนาดนี้ และคาดว่าเจ้าของบ้านน่าจะใช้อุปกรณ์สั่งการณ์ทางมือถือ เนื่องจากบางครั้งมีเสียงดังรบกวนจนน่ากลัว ทำให้เกิดการรบกวนคนในหมู่บ้าน ทั้งกลางวันและกลางคืน ซึ่งเกิดผิดสังเกตุ

และสำหรับบ้านหลังนี้เมื่อหลายปีที่ผ่านมา ก็ได้เกิดเพลิงไหม้จนอุปกรณ์คล้ายๆ กันวอดเสียหายไปจำนวนมาก โดยเจ้าหน้าที่ไม่ได้สงสัยว่าอุปกรณ์ที่ถูกไฟไหม้เสียหายในครั้งนั้น คืออุปกรณ์เดียวกันในการลักลอบใช้ไฟฟ้านี้ก็เป็นได้ จากนั้นทางเจ้าของบ้านได้มาทำการปรับปรุงบ้านขึ้นมาใหม่ แล้วก็กลับมาประกอบในการลักไฟฟ้าใช้จนมาถูกตรวจจับได้ในครั้งนี้ และเกิดการสงสัยจากเสียงที่ดังโดยไม่มีคนพักอาศัยอยู่ในบ้าน ชาวบ้านจึงได้แจ้งไปยังทางเจ้าหน้าที่การไฟฟ้า ทางเจ้าหน้าที่จึงเข้าไปตรวจสอบพร้อมหมายศาล จนพบว่าบ้านดังกล่าวมีการลักลอบการใช้ไฟฟ้า โดยภายในบ้านพบอุปกรณ์ที่ใช้ประกอบการกระทำผิดอยู่เป็นจำนวนมาก เจ้าหน้าที่จึงได้เข้าทำการตรวจยึดทั้งหมด ส่งไปทำการตรวจสอบว่าอุปกรณ์เหล่านั้นใช้ประกอบการกระทำผิดในรูปแบบใดบ้างต่อไป


ข่าว-ภาพ ปรีชา ไหลวารินทร์ กาญจนบุรี

กฟภ.กาญจนบุรี จับผู้ลักลอบใช้ไฟฟ้าเสียหายเกือบ 10 ล้านบาท

กฟภ.กาญจนบุรี ถูกลักลอบใช้ไฟฟ้าเสียหายเกือบ 10 ล้านบาทภายในติดแอร์เย็นฉ่ำ!! PEA ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจพบการละเมิดการใช้ไฟฟ้าในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายวัฒนา มหารมย์ ผู้จัดการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจังหวัดกาญจนบุรี พร้อมด้วย นายสมศักดิ์ นุชสาย ผู้จัดการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคสาขาเมืองกาญจนบุรี ร่วมกับ พันตำรวจเอก สุรยุทธ เมฆมังกร ผกก.สภ.เมืองกาญจนบุรี นำกำลังเจ้าหน้าที่ สภ.เมืองกาญจนบุรี และส่วนเกี่ยวข้องร่วมกันนำหมายค้นของศาลจังหวัดกาญจนบุรี เข้าตรวจค้น จุดที่ 1 หมู่บ้านพฤกษากาญจน์ ทาวน์ 2 บ้านเลขที่ 80/61 หมู่ 1 ตำบลท่ามะขาม อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี และ จุดที่ 2 บ้านเลขที่ 75 ตำบลบ้านเหนือ อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี

จากการเข้าตรวจสอบพบมีการละเมิดการใช้ไฟฟ้า โดยขณะตรวจค้นวัดค่าใช้งานรวมได้ 53 kW โดยภายในพบชุดคอมพิวเตอร์ ขุดบิทคอย จำนวนกว่า 21 เครื่อง พร้อมอุปกรณ์ประกอบหลายรายการ มูลค่าของกลางและความเสียหายในการลักลอบใช้ไฟฟ้า ทั้งสิ้นกว่า 8 ล้านบาท พร้อมทั้งนำผู้ครอบครองสถานที่ไปยัง สภ. เพื่อทำการสอบสวนและขยายผลเพื่อดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องต่อไป

การลักลอบใช้ไฟฟ้านั้น PEA สามารถตรวจพบได้จากฐานข้อมูลการใช้ไฟฟ้าของ PEA การละเมิดการใช้ไฟฟ้านอกจากจะเป็นการกระทำผิดตามกฎหมายในคดีแพ่งและอาญาแล้ว ยังเป็นการติดตั้งระบบไฟฟ้าที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐาน อาจก่อให้เกิดไฟฟ้าลัดวงจร รวมถึงเกิดเพลิงไหม้ เป็นอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินได้

สำหรับประชาชนผู้เป็นเจ้าของอาคารปล่อยเช่า ควรตรวจสอบผู้เช่าว่ามีการใช้งานอาคารในลักษณะผิดกฎหมายหรือไม่ ซึ่งหากผู้ใดพบเห็นการละเมิดการใช้ไฟฟ้าที่ผิดกฎหมาย สามารถแจ้งเบาะแสได้ที่ 1129 PEA Contact Center หรือ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคในพื้นที่

สำหรับในการเข้าตรวจสอบการลักลอบใช้กระแสไฟฟ้าในครั้ง เนื่องจากได้มีชาวบ้านในหมู่บ้านแจ้งว่า ได้สงสัยภายในห้องบ้านหลังดังกล่าว ที่ไม่มีคนอยู่อาศัยนานๆ จะมาสักครั้ง แต่เกิดมีเสียงดัง ชาวบ้านเกรงจะเกิดอันตราย จึงแจ้งการไฟฟ้าให้ตรวจสอบ และก็ไม่เคยเห็นการขนอุปกรณ์ทั้งหมดเข้าไปในช่วงเวลาใด คาดว่าน่าจะช่วงที่เพื่อนบ้านออกไปทำงานกันหมดแล้วขนเข้ามา อุปกรณ์ถึงมากมายขนาดนี้ และคาดว่าเจ้าของบ้านน่าจะใช้อุปกรณ์สั่งการณ์ทางมือถือ เนื่องจากบางครั้งมีเสียงดังรบกวนจนน่ากลัว ทำให้เกิดการรบกวนคนในหมู่บ้าน ทั้งกลางวันและกลางคืน ซึ่งเกิดผิดสังเกตุ

และสำหรับบ้านหลังนี้เมื่อหลายปีที่ผ่านมา ก็ได้เกิดเพลิงไหม้จนอุปกรณ์คล้ายๆ กันวอดเสียหายไปจำนวนมาก โดยเจ้าหน้าที่ไม่ได้สงสัยว่าอุปกรณ์ที่ถูกไฟไหม้เสียหายในครั้งนั้น คืออุปกรณ์เดียวกันในการลักลอบใช้ไฟฟ้านี้ก็เป็นได้ จากนั้นทางเจ้าของบ้านได้มาทำการปรับปรุงบ้านขึ้นมาใหม่ แล้วก็กลับมาประกอบในการลักไฟฟ้าใช้จนมาถูกตรวจจับได้ในครั้งนี้ และเกิดการสงสัยจากเสียงที่ดังโดยไม่มีคนพักอาศัยอยู่ในบ้าน ชาวบ้านจึงได้แจ้งไปยังทางเจ้าหน้าที่การไฟฟ้า ทางเจ้าหน้าที่จึงเข้าไปตรวจสอบพร้อมหมายศาล จนพบว่าบ้านดังกล่าวมีการลักลอบการใช้ไฟฟ้า โดยภายในบ้านพบอุปกรณ์ที่ใช้ประกอบการกระทำผิดอยู่เป็นจำนวนมาก เจ้าหน้าที่จึงได้เข้าทำการตรวจยึดทั้งหมด ส่งไปทำการตรวจสอบว่าอุปกรณ์เหล่านั้นใช้ประกอบการกระทำผิดในรูปแบบใดบ้างต่อไป


ข่าว-ภาพ ปรีชา ไหลวารินทร์ กาญจนบุรี

‘นายกไก่’ เมืองราชบุรี จัดเล่นว่าวกลางน้ำ ริมเขื่อนรัฐประชาพัฒนา

นายกไก่ ” ศักดิ์ชัย พิศาลผล ” นายกเทศมนตรีเมืองราชบุรี จัดให้อีกครั้งเล่นว่าวกลางน้ำ ริมเขื่อนรัฐประชาพัฒนา

ที่หน้าหอนาฬิกา โอ่งมังกรพ่นน้ำ และสะพาน M 4 กลางแม่น้ำแม่กลอง นายศักดิ์ชัย พิศาลผล นายกเทศมนตรีเมืองราชบุรี ได้เปิดงานกิจกรรมการเล่นว่าวกลางน้ำบริเวณริมเขื่อนรัฐประชาพัฒนา ตรงข้ามค่ายภาณุรังษี โดยจะจัดขึ้นระหว่างวันเสาร์ที่ 27 และอาทิตย์ที่ 28 เม.ย. 67 ตั้งแต่เวลา 15.00 น. ถึงค่ำ มีขึ้นโชว์ทั้งว่าวไทย ๆ ว่าวแฟนซี ว่าวการ์ตูน ว่าวสาย ว่าวไฟ

จึงขอเชิญเที่ยวชมและเล่นว่าวกันได้ และมีว่าวชนิดต่าง ๆ มาจำหน่าย เพื่อเป็นการสร้างสีสันการท่องเที่ยวสองฝั่งแม่น้ำแม่กลอง ทั้งฝั่งเทศบาลเมืองราชบุรี และงานท่องเที่ยวสักการะศาลหลักเมืองฝั่งกรมการทหารช่วง งานนี้มีว่าวสวย ๆ ขึ้นให้ชมกันมากมายอีกเช่นเคย

ภาพ-ข่าว พันธุ์-จรรยา แก้วนุ้ย ราชบุรี

‘นายกไก่’ เมืองราชบุรี จัดเล่นว่าวกลางน้ำ ริมเขื่อนรัฐประชาพัฒนา

นายกไก่ ” ศักดิ์ชัย พิศาลผล ” นายกเทศมนตรีเมืองราชบุรี จัดให้อีกครั้งเล่นว่าวกลางน้ำ ริมเขื่อนรัฐประชาพัฒนา

ที่หน้าหอนาฬิกา โอ่งมังกรพ่นน้ำ และสะพาน M 4 กลางแม่น้ำแม่กลอง นายศักดิ์ชัย พิศาลผล นายกเทศมนตรีเมืองราชบุรี ได้เปิดงานกิจกรรมการเล่นว่าวกลางน้ำบริเวณริมเขื่อนรัฐประชาพัฒนา ตรงข้ามค่ายภาณุรังษี โดยจะจัดขึ้นระหว่างวันเสาร์ที่ 27 และอาทิตย์ที่ 28 เม.ย. 67 ตั้งแต่เวลา 15.00 น. ถึงค่ำ มีขึ้นโชว์ทั้งว่าวไทย ๆ ว่าวแฟนซี ว่าวการ์ตูน ว่าวสาย ว่าวไฟ

จึงขอเชิญเที่ยวชมและเล่นว่าวกันได้ และมีว่าวชนิดต่าง ๆ มาจำหน่าย เพื่อเป็นการสร้างสีสันการท่องเที่ยวสองฝั่งแม่น้ำแม่กลอง ทั้งฝั่งเทศบาลเมืองราชบุรี และงานท่องเที่ยวสักการะศาลหลักเมืองฝั่งกรมการทหารช่วง งานนี้มีว่าวสวย ๆ ขึ้นให้ชมกันมากมายอีกเช่นเคย

ภาพ-ข่าว พันธุ์-จรรยา แก้วหนุ่ย ราชบุรี

อำนาจเจริญ.เชิญสิ่งของพระราชทานมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ มอบแก่ครอบครัวของผู้ประสบอัคคีภัย

  จังหวัดอำนาจเจริญ เชิญสิ่งของพระราชทานมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ มอบแก่ครอบครัวของผู้ประสบอัคคีภัย

  วันที่ 24 เมษายน 2567 เวลา 14.30 น. ว่าที่พันตรีอดิศักดิ์ น้อยสุวรรณ ผู้ว่าราชการจังหวัดอำนาจเจริญ มอบหมายให้นายเสนีย์ ส้มเขียวหวาน รองผู้ว่าราชการจังหวัดอำนาจเจริญ ปฏิบัติหน้าที่แทน ในฐานะประธานกรรมการมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ประจำจังหวัดอำนาจเจริญ เชิญสิ่งของพระราชทาน มอบให้แก่ครอบครัวผู้ประสบอัคคีภัย จำนวน 1 ราย พร้อมเยี่ยมให้กำลังใจ นายทองม้วน เสือสา ที่อยู่อาศัยประจำไม่มีเลขที่ หมู่ที่ 2 ตำบลพระเหลา อำเภอพนา จังหวัดอำนาจเจริญ

ในการนี้นางขนิษฐา แห่งธรรม นักวิทยาศาสตร์ชำนาญการพิเศษ รักษาราชการแทน หัวหน้าสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดอำนาจเจริญ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่เข้าร่วมในพิธี โดยมีคณะเหล่ากาชาดจังหวัดอำนาจเจริญ สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด หัวหน้าส่วนราชการระดับอำเภอ ผู้บริหารท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และประชาชนในพื้นที่ร่วมในพิธีด้วย ยังความซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณแก่ผู้ประสบภัย

ขอบคุณ.ภาพข่าว/นายทิพกร หวานอ่อน

ราชบุรี – ชื่นชม 2 เจ้าหน้าที่หน่วยพิทักษ์ป่าลุยโคลนช่วยนกติดหล่มโคลน

  ชื่นชม 2 เจ้าหน้าที่ลุยโคลนช่วยนกติดหล่ม
เจ้าหน้าที่หน่วยพิทักษ์ป่าพุน้ำร้อน เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าแม่น้ำภาชี ลุยโคลนช่วยนกติด โคลนตมในอ่างเก็บน้ำอุทยานแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติไทยประจัน หลังเกิดสถานการณ์ภัยแล้ง น้ำแห้งขอดช่วยรอดชีวิตหวุดหวิด คาดบินหากินน้ำหรือลูกปลาในอ่างจนเกิดติดหล่ม


เมื่อวันที่ 25 เม.ย. 67  รับแจ้งว่ามี 2 เจ้าหน้าที่หน่วยพิทักษ์ป่าพุน้ำร้อน เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าแม่น้ำภาชี จ.ราชบุรี ที่ลุยโคลนลึกลงไปช่วยเหลือนกชนิดหนึ่ง ที่พบเจอโดยบังเอิญหลังนกตัวดังกล่าวบินลงไปกินน้ำ หรือจับปลาจนติดโคลนตม ภายในอ่างเก็บน้ำอุทยานแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติไทยประจัน หมู่ที่ 5 ต.ยางหัก อ.ปากท่อ จ.ราชบุรี ซึ่งมีสภาพที่แห้งขอดเหลือน้ำติดก้นอ่างจนมีโครนตมจำนวนมากจากภาวะปัญหาภัยแล้ง ทำให้สัตว์ป่าหลายชนิด ทั้งสัตว์กลีบ สัตว์เลื้อยคลาน นก และสัตว์อื่น ๆ ได้รับผลกระทบไม่มีน้ำกิน


โดยนายชาตรี วงษ์ทอง และนายวิรัตน์ มหาทรัพย์ เจ้าหน้าที่หน่วยพิทักษ์ป่าพุน้ำร้อน เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าแม่น้ำภาชี ได้มาพบเห็นนกกำลังอยู่ในสภาพดิ้นรณติดอยู่ในโครนตมอย่างทุรนทุราย เพื่อให้หลุดพ้นจากการติดโคลนตมอยู่นานหลายชั่วโมง มีสภาพอิดโรย โดยเจ้าหน้าที่ได้ลุยโครนลงไปช่วยจับตัวมาวางบนกิ่งไม้ยาวแล้วค่อย ๆ ลากขึ้นมาทีละนิดเพื่อนำขึ้นฝั่ง ใช้น้ำล้างตัวเอาโคลนออกจนสะอาด พบว่านกลำตัวสีแดงขนสีดำ แกมเขียว ปากใหญ่สีแดงแหลมคม คล้ายปากเหยี่ยว หลังล้างน้ำอาการดีขึ้น ลืมตาได้ และเริ่มมีดิ้น ใช้ปากจิกได้ แต่ยังไม่ทราบว่าเป็นนกชนิดใด


นายชาตรี วงษ์ทอง ผู้ที่ลุยโครนลงไปจับขึ้นมา กล่าวว่า เห็นนกติดโคลนใกล้จะตายจึงลงไปช่วย สาเหตุคาดว่าคงลงไปกินน้ำ หรือหากินลูกปลา จนเกิดพลัดตกลงไปในโครนตมโดยไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ จึงได้ลงไปช่วยแล้วค่อย ๆ ประคองนกขึ้นมา ไม่อยากให้ปีก ขา เกิดอาการบาดเจ็บได้ ก่อนหน้านี้เคยพบเก้งมาติดโคลน ด้วย จึงไล่ต้อนให้ขึ้นฝั่งไปได้ก่อน ส่วนนกภาพรวมอาการปกติ ตัวแห้งดีแล้ว จึงปล่อยคืนธรรมชาติต่อไป

พันธุ์ – จรรยา แก้วนุ้ย  จ.ราชบุรี ภาพ-ข่าว

สมาชิกวุฒิสภา เปิดโครงการค่ายเยาวชนสู่สากล  แลกเปลี่ยนเรียนรู้ทางภาษาและวัฒนธรรม ระหว่างนักศึกษาของไทยและนักศึกษาจากนานาชาติ

สมาชิกวุฒิสภา เปิดโครงการค่ายเยาวชนสู่สากล (International Youth Camp) เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ทางภาษาและวัฒนธรรม ระหว่างนักศึกษาของไทยและนักศึกษาจากนานาชาติ ณ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ จังหวัดนครปฐม

หม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล สมาชิกวุฒิสภา

เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2567 ห้องประชุม อาคารวิทยบริการ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ ตำบลศาลายา อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม หม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล สมาชิกวุฒิสภา, รองประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญการพิทักษ์และเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์, รองประธานคณะกรรมาธิการการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม, ที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการการพัฒนาสังคม และกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาส วุฒิสภา เป็นประธานเปิดโครงการค่ายเยาวชนสู่สากล (International Youth Camp)

โดยมีรองศาสตราจารย์ ดร. อุดมวิทย์ ไชยสกุลเกียรติ อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ ผู้บริหาร คณาจารย์ ประชาสัมพันธ์จังหวัดนครปฐม ร่วมกิจกรรมในครั้งนี้สำหรับค่ายเยาวชนสู่สากล (International Youth Camp) กองกลาง งานวิเทศสัมพันธ์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ กำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 22 - 30 เมษายน 2567 เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ทางภาษาและวัฒนธรรม และความหลากหลายทางชนชาติ ก่อให้เกิดการสร้างเครือข่ายความร่วมมือต่างๆ ร่วมกันต่อไปในอนาคต ระหว่างนักศึกษาของไทยและนักศึกษาจากนานาชาติ ที่ส่งผลต่อการสร้างการเปลี่ยนแปลง ที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศ นักศึกษาได้ความรู้และโอกาส ในการพัฒนาทักษะทางวิชาชีพ พัฒนาศักยภาพและเพิ่มขีดความสามารถของตนเอง

  เพื่อสามารถแข่งขัน และสามารถเป็นผู้ประกอบการในระดับสากลได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังได้เรียนรู้ วัฒนธรรมของนานาประเทศอีกด้วย โอกาสนี้ หม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล กล่าวสุนทรพจน์ในหัวข้อพิเศษเรื่อง "ความจงรักภักดีของประชาชนชาวไทยที่มีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์" โดยมีเยาวชนจากประเทศต่างๆ ที่เข้าร่วมโครงการฯ ประกอบด้วย สาธารณรัฐประชาชนจีน ประเทศเกาหลี ประเทศเวียดนาม ประเทศอินเดีย สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ประเทศมาเลเซีย ประเทศเยอรมนี ประเทศไทย และไต้หวัน รวมทั้งสิ้น จำนวน 60 คน


สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดนครปฐม – ภาพ/ข่าว

สมาชิกวุฒิสภา เปิดโครงการค่ายเยาวชนสู่สากล  แลกเปลี่ยนเรียนรู้ทางภาษาและวัฒนธรรม ระหว่างนักศึกษาของไทยและนักศึกษาจากนานาชาติ

สมาชิกวุฒิสภา เปิดโครงการค่ายเยาวชนสู่สากล (International Youth Camp) เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ทางภาษาและวัฒนธรรม ระหว่างนักศึกษาของไทยและนักศึกษาจากนานาชาติ ณ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ จังหวัดนครปฐม

หม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล สมาชิกวุฒิสภา

เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2567 ห้องประชุม อาคารวิทยบริการ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ ตำบลศาลายา อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม หม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล สมาชิกวุฒิสภา, รองประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญการพิทักษ์และเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์, รองประธานคณะกรรมาธิการการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม, ที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการการพัฒนาสังคม และกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาส วุฒิสภา เป็นประธานเปิดโครงการค่ายเยาวชนสู่สากล (International Youth Camp)

โดยมีรองศาสตราจารย์ ดร. อุดมวิทย์ ไชยสกุลเกียรติ อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ ผู้บริหาร คณาจารย์ ประชาสัมพันธ์จังหวัดนครปฐม ร่วมกิจกรรมในครั้งนี้สำหรับค่ายเยาวชนสู่สากล (International Youth Camp) กองกลาง งานวิเทศสัมพันธ์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ กำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 22 - 30 เมษายน 2567 เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ทางภาษาและวัฒนธรรม และความหลากหลายทางชนชาติ ก่อให้เกิดการสร้างเครือข่ายความร่วมมือต่างๆ ร่วมกันต่อไปในอนาคต ระหว่างนักศึกษาของไทยและนักศึกษาจากนานาชาติ ที่ส่งผลต่อการสร้างการเปลี่ยนแปลง ที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศ นักศึกษาได้ความรู้และโอกาส ในการพัฒนาทักษะทางวิชาชีพ พัฒนาศักยภาพและเพิ่มขีดความสามารถของตนเอง

  เพื่อสามารถแข่งขัน และสามารถเป็นผู้ประกอบการในระดับสากลได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังได้เรียนรู้ วัฒนธรรมของนานาประเทศอีกด้วย โอกาสนี้ หม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล กล่าวสุนทรพจน์ในหัวข้อพิเศษเรื่อง "ความจงรักภักดีของประชาชนชาวไทยที่มีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์" โดยมีเยาวชนจากประเทศต่างๆ ที่เข้าร่วมโครงการฯ ประกอบด้วย สาธารณรัฐประชาชนจีน ประเทศเกาหลี ประเทศเวียดนาม ประเทศอินเดีย สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ประเทศมาเลเซีย ประเทศเยอรมนี ประเทศไทย และไต้หวัน รวมทั้งสิ้น จำนวน 60 คน


สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดนครปฐม – ภาพ/ข่าว

นายกฯ อบต. หนองดินแดง รุดเยี่ยมสองยายวัย 85 ปี อุบัติเหตุหกล้ม

นายกองค์การบริหารส่วนตำบลหนองดินแดง เป็นตัวแทน สส.ฟิล์ม นำอาหารเยี่ยมสองยายวัย 85 ปี บาดเจ็บจากอุบัติเหตุหกล้ม

เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2567  นายวสุกฤต กิตติญาณปัญญา นายกองค์การบริหารส่วนตำบลหนองดินแดง อ.เมืองนครปฐม จ.นครปฐม พร้อมคณะได้นำข้าวสาร นม และยาสามัญประจำบ้าน จากนายศุภโชค ศรีสุขจร (สส.ฟิล์ม) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จ.นครปฐม พรรคชาติไทยพัฒนา มาให้คุณยายซกเกียง พุทชิวิวรณ์ อายุ 85 ปี และคุณยายซกงิ้ม พุทชิวิวรณ์ อายุ 84 ปี สองพี่น้องที่อยู่กันลำพัง

   สืบเนื่องจาก นายวสุกฤต หรือนายกเซ้งได้รับแจ้งจากนักพัฒนาชุมชน ว่ามีผู้สูงอายุสองท่านล้ม และมีบาดแผลมารับการรักษาที่ รพ.สต.หนองดินแดง จึงได้ถือโอกาสมาเยี่ยมคุณยายซกเกียงและคุณยายซกงิ้ม อีกทั้งยังนำอาหารและความปรารถนาดี จาก ส.ส.ฟิล์ม นายศุภโชค ศรีสุขจร มาฝากทั้งสองเพื่อบรรเทาทุกข์ และเป็นการให้กำลังใจ เราคนรักหนองดินแดง ยามทุกข์ต้องช่วยเหลือกัน

ขอบคุณ ภาพ-ข่าว ทวีพล หลิมชัยสุวรรณ

ผู้ช่วยเลขาฯ กรรมการ ป.ป.ช. ภาค 7 ติดตามความก้าวหน้าการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ชาติ การต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ ประจำปี 2567

ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ภาค 7 ติดตามความก้าวหน้าการดำเนินงานตามแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ประเด็น (21) การต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567

นายสุพจน์ ศรีงามเมือง ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ภาค 7

วันที่ 23 เมษายน 2567 ที่ห้องประชุมศาลากลางจังหวัดนครปฐม นายสุพจน์ ศรีงามเมือง ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ภาค 7 เป็นประธานเปิดการประชุมติดตามความก้าวหน้าการดำเนินงานตามแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ประเด็น (21) การต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 โดยมีหน่วยงานภาครัฐ ในพื้นที่จังหวัดนครปฐม ได้แก่ สำนักงานจังหวัดนครปฐม สำนักงานศึกษาธิการจังหวัดนครปฐม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครปฐม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐม เขต 1 สำนักงานส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นจังหวัดนครปฐม สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครปฐม สำนักงาน ป.ป.ท. เขต 7 และสำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดนครปฐม

รวมถึงผู้แทนหน่วยงานจากส่วนกลาง ได้แก่ สำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ สำนักงาน ป.ป.ช. ร่วมนำเสนอข้อมูลความก้าวหน้าผลการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามการทุจริต ใน 3 ส่วน ทั้งในส่วนที่ได้ดำเนินการผ่านโครงการ/กิจกรรม ที่ใช้งบประมาณตามแผนงานบูรณาการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ โครงการ/กิจกรรมที่ใช้งบประมาณตามแผนงานยุทธศาสตร์ของหน่วยงาน และในส่วนการดำเนินงานที่ไม่ได้ใช้งบประมาณ รวมทั้งการขับเคลื่อนการดำเนินการป้องกันและปราบปรามการทุจริต โดยกลไกคณะกรรมการผลักดันการดำเนินงาน ตามแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ประเด็น การต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ จังหวัดนครปฐม


  ทั้งนี้ สำนักงาน ป.ป.ช. กำกับดูแลการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตในระดับพื้นที่ 8 จังหวัด ของภาค 7 ประกอบกับ สำนักงาน ป.ป.ช. ได้รับมอบหมายจากคณะรัฐมนตรีในการเป็นหน่วยงานเจ้าภาพขับเคลื่อนแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ประเด็นที่ 21 การต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ ซึ่งคณะกรรมการ ป.ป.ช. และสำนักงาน ป.ป.ช. ได้ดำเนินการขับเคลื่อนแผนแม่บทมาอย่างต่อเนื่อง โดยได้มีการจัดทำแผนปฏิบัติการด้านการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ ระยะที่ 1 (พ.ศ. 2563 – 2565) และระยะที่ 2 (พ.ศ. 2566 – 2570) (ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม) ที่ได้ผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี เพื่อใช้เป็นเครื่องมือสำหรับหน่วยงานภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน และภาคเอกชน ในการแปลงแนวทางตามแผนแม่บทไปสู่การปฏิบัติ


  โดยแผนปฏิบัติการด้านการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ ระยะที่ 2 (พ.ศ. 2566 – 2570) (ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม) ได้ให้ความสำคัญ และดำเนินการภายใต้หลักการและแนวทางตามมติคณะรัฐมนตรี มีความสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ ด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ และได้ถ่ายทอดเป้าหมาย และตัวชี้วัดตามแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ประเด็นที่ 21การต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ โดยได้วิเคราะห์ทบทวนสถานการณ์การทุจริตผลการดำเนินงานที่ผ่านมา ตลอดจนงานวิจัยต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง นำมากำหนดแนวทางการดำเนินงาน ลักษณะโครงการ กิจกรรมสำคัญ ที่สามารถส่งผลต่อการบรรลุค่าเป้าหมายในแต่ละตัวชี้วัด เพื่อให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม


สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดนครปฐม – ภาพ/ข่าว

สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ  เสด็จพระราชดำเนินไปทรงยกฉัตรขึ้นประดิษฐานเหนือหอพระพุทธมหาสิริพีรยพัฒน์ ณ มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา

สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินไปทรงยกฉัตรขึ้นประดิษฐานเหนือหอพระพุทธมหาสิริพีรยพัฒน์ ณ มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา จังหวัดนครปฐม

วันที่ 19 เมษายน 2567 เวลา 09.59 น. สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินไปทรงยกฉัตรขึ้นประดิษฐานเหนือหอพระพุทธมหาสิริพีรยพัฒน์ ณ สถาบันพัฒนาสุขภาพอาเซียน มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดนครปฐม ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 11 ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครปฐม นายกเหล่ากาชาดจังหวัดนครปฐม นายกสภามหาวิทยาลัยมหิดล อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล รองอธิการบดีฝ่ายบริหาร รักษาการแทนผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาสุขภาพอาเซียน และผู้แทนนักศึกษา เฝ้าทูลละอองพระบาทรับเสด็จ

จากนั้น เสด็จเข้าพลับพลาพิธี ทรงจุดธูปเทียนเครื่องนมัสการบูชาพระพุทธนวราชบพิตร ในการนี้ ดร.บุญเกียรติ โชควัฒนา ประธานกรรมการบริษัท ไอ.ซี.ซี. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ทูลเกล้าฯ ถวายสูจิบัตร ศาสตราจารย์คลินิกเกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกล สกลสัตยาทร นายกสภามหาวิทยาลัยมหิดล ทูลเกล้าฯ ถวายเงินโดยเสด็จพระราชกุศลตามพระราชอัธยาศัย ศาสตราจารย์ นายแพทย์ บรรจง มไหสวริยะ อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล กราบบังคมทูลรายงานวัตถุประสงค์ของการจัดงานฯ

โอกาสนี้ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จออกจากพลับพลาพิธี ทรงพระสุหร่าย ทรงเจิมที่กำพูฉัตร ทรงถือสายสูตรยกฉัตรขึ้นประดิษฐานเหนือหอพระพุทธมหาสิริพีรยพัฒน์ จากนั้นทรงกดปุ่มไฟฟ้าเปิดแพรคลุมป้ายหอพระพุทธมหาสิริพีรยพัฒน์ หลังจากนั้น เสด็จเข้าพลับพลาพิธี ทรงประเคนจตุปัจจัยไทยธรรมถวายพระสงฆ์ พระราชทานของที่ระลึกแก่ผู้มีอุปการคุณสนับสนุนการดำเนินโครงการเฉลิมพระเกียรติ 65 พรรษา สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี 2 เมษายน 2563 จำนวน 100 ราย

มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ดำเนินโครงการเฉลิมพระเกียรติ 65 พรรษา สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี 2 เมษายน 2563 ประกอบด้วยการจัดสร้างพระพุทธมหิดลมงคลปัญญาญาณ หอพระพุทธมหาสิริพีรยพัฒน์ ซึ่งได้รับพระราชทานนามจากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้ประดิษฐานอักษรพระนามาภิไธย “สธ” ที่ฐานผ้าทิพย์ และหอพระ เมื่อวันที่ 2 มกราคม 2563 โดยมี มูลนิธิมหาวิทยาลัยมหิดล ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และมูลนิธิ ดร.เทียม โชควัฒนา ร่วมเฉลิมพระเกียรติ

พระพุทธมหิดลมงคลปัญญาญาณ มีความหมายว่า “พระพุทธรูปที่นำมาซึ่งปัญญาหยั่งรู้อันกระจ่างแจ้งและเป็นมงคลแห่ง มหาวิทยาลัยมหิดล” มีขนาดความสูง 98 นิ้ว หน้าตักกว้าง 65 นิ้ว ปิดผิวด้วยทองคำและอัญมณี ซึ่งนำต้นแบบพุทธลักษณะจาก “พระพุทธมหาลาภ” ที่มหาวิทยาลัยมหิดลได้รับพระราชทานจากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2535 นำมาปรับแต่งให้มีพุทธลักษณะให้มีความงดงามและอ่อนช้อยมากยิ่งขึ้น พร้อมทั้งเพิ่มฐานบัวและผ้าทิพย์

สำหรับหอพระพุทธมหาสิริพีรยพัฒน์ เป็นอาคารทรงมณฑปศิลปะไทยประยุกต์ผสมผสานสถาปัตยกรรมของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีทรงเรือนยอดประยุกต์จากศิลปะพม่า เสาและบัวหัวเสาเป็นศิลปะเขมร กรอบประตูทางเข้า เป็นศิลปะจีน ฐานระเบียงมีลวดลาย ดอกไม้ของมาเลเซีย หัวเสาราวบันไดเป็นศิลปะชวา ฉากหลังตกแต่งด้วยภาพจิตรกรรมซุ้ม เรือนแก้วลายพันธุ์พฤกษาและสัตว์หิมพานต์ที่เป็นมงคล แสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ ด้านนอกมณฑป มีลานประทักษิณ กว้าง 2 เมตร และด้านหลังออกแบบเป็นทางลาดสำหรับผู้พิการและผู้สูงอายุ ชั้นล่างสุดเป็นทางเดินปูด้วยหินเทียม ออกแบบภูมิสถาปัตยกรรมตามแนว “พุทธอุทยาน”


สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดนครปฐม – ภาพ/ข่าว

อบจ.นครปฐม จัดพิธีรดน้ำขอพร นายก อบจ.นครปฐม

อบจ.นครปฐม จัดพิธีรดน้ำขอพร นายจิรวัฒน์ สะสมทรัพย์ นายก อบจ.นครปฐม และ นางวิลาสินี สะสมทรัพย์ ภริยา เนื่องในประเพณีวันสงกรานต์ ประจำปี 2567 โดยมี สมาชิกสภา อบจ., เจ้าหน้าที่ อบจ. และหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนในจังหวัดนครปฐม ได้ทยอยกันสรงน้ำพระพุทธรูปและร่วมรดน้ำขอพร จำนวนมาก

นายพาณุวัฒณ์ สะสมทรัพย์ ส.ส.โหน่ง น้องชายคนรอง
นายปองพล สะสมทรัพย์ หรือเสี่ยหนุ่ม น้องชายคนเล็ก

  ที่องค์การบริหารส่วนจังหวัดนครปฐม จัดกิจกรรมประเพณีรดน้ำดำหัว เนื่องในเทศกาลสงกรานต์ ประจำปี 2567 ให้นายจิรวัฒน์ สะสมทรัพย์ หรือนายกหนึ่ง นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครปฐม และนางวิลาสินี สะสมทรัพย์ ภริยา โดยมีข้าราชการ ผู้นำท้องถิ่น นายกอบต. นายกเทศมนตรี ผู้นำท้องที่ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อสม. ครู และประชาชน เข้าร่วมรดน้ำดำหัวนายกอบจ.และภริยาจำนวนมาก

ทั้งนี้ นายพาณุวัฒณ์ สะสมทรัพย์ ส.ส.โหน่ง น้องชายคนรอง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) นครปฐม เขต3 พรรคชาติไทยพัฒนา นายปองพล สะสมทรัพย์ หรือเสี่ยหนุ่ม น้องชายคนเล็ก มาร่วมในการรดน้ำดำหัว พี่ชายพร้อมกัน โดยเมื่อส.ส.โหน่งมาถึง พี่ชายรู้สึกดีใจ และที่งสองโผเข้าสวมกอดกัน ด้วยความรัก ซึ่งสามคนพี่น้อง เป็นลูกชายของนายไชยา สะสมทรัพย์  อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และ สส.นครปฐมหลายสมัยในอดีต

ในงานพิธีรดน้ำดำหัว เทศกาลสงกรานต์ครั้งนี้ได้มี ข้าราชการ ผู้นำท้องถิ่น นายกอบต. นายกเทศมนตรี ผู้นำท้องที่ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อสม. ครู และประชาชน รวมถึงนายศุภโชค ศรีสุขขจร สส.เขต 1 พรรคชาติไทยพัฒนา ได้มาร่วมงานครั้งนี้ด้วย.

อบจ.นครปฐม จัดพิธีรดน้ำขอพร นายก อบจ.นครปฐม

อบจ.นครปฐม จัดพิธีรดน้ำขอพร นายจิรวัฒน์ สะสมทรัพย์ นายก อบจ.นครปฐม และ นางวิลาสินี สะสมทรัพย์ ภริยา เนื่องในประเพณีวันสงกรานต์ ประจำปี 2567 โดยมี สมาชิกสภา อบจ., เจ้าหน้าที่ อบจ. และหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนในจังหวัดนครปฐม ได้ทยอยกันสรงน้ำพระพุทธรูปและร่วมรดน้ำขอพร จำนวนมาก

นายพาณุวัฒณ์ สะสมทรัพย์ ส.ส.โหน่ง น้องชายคนรอง
นายปองพล สะสมทรัพย์ หรือเสี่ยหนุ่ม น้องชายคนเล็ก

  ที่องค์การบริหารส่วนจังหวัดนครปฐม จัดกิจกรรมประเพณีรดน้ำดำหัว เนื่องในเทศกาลสงกรานต์ ประจำปี 2567 ให้นายจิรวัฒน์ สะสมทรัพย์ หรือนายกหนึ่ง นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครปฐม และนางวิลาสินี สะสมทรัพย์ ภริยา โดยมีข้าราชการ ผู้นำท้องถิ่น นายกอบต. นายกเทศมนตรี ผู้นำท้องที่ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อสม. ครู และประชาชน เข้าร่วมรดน้ำดำหัวนายกอบจ.และภริยาจำนวนมาก

ทั้งนี้ นายพาณุวัฒณ์ สะสมทรัพย์ ส.ส.โหน่ง น้องชายคนรอง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) นครปฐม เขต3 พรรคชาติไทยพัฒนา นายปองพล สะสมทรัพย์ หรือเสี่ยหนุ่ม น้องชายคนเล็ก มาร่วมในการรดน้ำดำหัว พี่ชายพร้อมกัน โดยเมื่อส.ส.โหน่งมาถึง พี่ชายรู้สึกดีใจ และที่งสองโผเข้าสวมกอดกัน ด้วยความรัก ซึ่งสามคนพี่น้อง เป็นลูกชายของนายไชยา สะสมทรัพย์  อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และ สส.นครปฐมหลายสมัยในอดีต

ในงานพิธีรดน้ำดำหัว เทศกาลสงกรานต์ครั้งนี้ได้มี ข้าราชการ ผู้นำท้องถิ่น นายกอบต. นายกเทศมนตรี ผู้นำท้องที่ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อสม. ครู และประชาชน รวมถึงนายศุภโชค ศรีสุขขจร สส.เขต 1 พรรคชาติไทยพัฒนา ได้มาร่วมงานครั้งนี้ด้วย.

เซ็นทรัล นครปฐม. จับมือ 16 ร้านอาหารชั้นนำ เปิดโปรเจคต์พิเศษ ตอกย้ำ “เมืองแห่งครัวโลก”

เซ็นทรัล นครปฐม เปิดโปรเจคต์พิเศษ ตอกย้ำ “เมืองแห่งครัวโลก” จับมือ 16 ร้านอาหารชั้นนำ ได้แก่ Bar B Q Plaza, Saemaeul, Salad Factory, Sukishi Korean Charcoal Grill, ลาวญวน, แหลมเจริญซีฟู้ด, KOI Thé, ชาตรามือ, MK Restaurants, Shabushi, Gaga, Zen, Sizzler, Oishi Ramen พร้อมด้วยร้านดังท้องถิ่นอย่าง เสน่ห์จันทน์ และ ย้อยหย่อย Café รังสรรค์ “ปฐมบทใหม่ของความอร่อย” ชู 4 วัตถุดิบท้องถิ่นของดีของขึ้นชื่อนครปฐม  ส้มโอ หมู มะพร้าวน้ำหอม กุ้งแม่น้ำ สร้างสรรค์เป็นจานอร่อยครบรส ทั้งคาว-หวาน ไทย-อินเตอร์พร้อมแล้วที่ให้ทุกคนได้ลิ้มลองเฉพาะสาขาเซ็นทรัล นครปฐม เท่านั้น

เริ่มจาก “ส้มโอ” ความหวานฉ่ำที่เลื่องชื่อ ผลไม้ที่อยู่คู่คำขวัญนครปฐม ถูกนำมาสร้างสรรค์เป็นอาหารคาวสุดแซ่บอย่าง “ยำส้มโอ” ที่แต่ละร้านก็จะมีสูตรเฉพาะตัว เริ่มที่ ย้อยหย่อย café ไอศครีมยำส้มโอโบราณ ไอศกรีมซอร์เบต์ส้มโอราดด้วยน้ำยำน้ำพริกเผาและผงปลาแห้งโบราณ เสิร์ฟพร้อมเนื้อส้มโอ “ยำส้มโอSizzler” ใช้ส้มโอพันธุ์ขาวน้ำผึ้ง คลุกเคล้าสารพัดเครื่อง อร่อยครบรสตักได้ไม่จำกัด เฉพาะซิซซ์เล่อร์สลัดบาร์ สาขาเซ็นทรัลนครปฐมเท่านั้น วันนี้ถึง 30 มิ.ย. 67 ยำส้มโอลาวญวน ความลงตัวของน้ำยำจากน้ำปลาร้า 2 สูตร เข้ากับส้มโอพันธุ์ขาวน้ำผึ้งหวานอมเปรี้ยว โรยด้วยถั่วลิสง และกุ้งแห้ง จำหน่ายถึง 30 เม.ย 67 ยำส้มโอกุ้งสด แหลมเจริญ ซีฟู้ด อร่อยสดชื่นกับเมนูยำรสจัดจ้านจากส้มโอขาวน้ำผึ้ง ปรุงด้วยเครื่องยำ และกุ้งสดเคล็ดลับความอร่อยโรยปลาข้าวสารกรอบ GAGA so Pomelo ชาเขียวมะลิ ส้มโอ ร๊อกซอลท์มูส และเม็ดน้ำผึ้ง จำหน่ายถึง 30 เม.ย. 2567

  “มะพร้าวน้ำหอม” ผลไม้คลายร้อนที่มีแหล่งปลูกใหญ่อยู่ที่นครปฐม KOI the’ จึงได้ครีเอท 2 เมนูให้สดชื่นท้าลมร้อน ในซีรีส์ Call Me CoCo ได้แก่ “CoCo Black Tea” และ “CoCo Milk Tea” ‘ชานมและเนื้อมะพร้าวน้ำหอมสามพราน’ เต็มคำ รสชาติความอร่อยลงตัวแบบใหม่ เฉพาะร้านโคอิ เตะ สาขาเซ็นทรัลนครปฐม ทางด้าน MK RESTAURANTSเสนอ พาร์เฟ่ต์ข้าวหลามมะพร้าวน้ำหอมไอศกรีมกะทิมะพร้าวน้ำหอม และข้าวหลามหวานมันสูตรโบราณ ราดซอสกะทิ พร้อมท็อปปิ้งอัลมอนด์สไลซ์ มะพร้าวอ่อน และซอสกะทิเติมความอร่อย จำหน่ายถึงวันที่ 5 พ.ค. 67ร้านอาหารญี่ปุ่นอย่าง Zen ก็คัดมะพร้าวน้ำหอมสามพรานเสิร์ฟในเมนู มะพร้าวสมูทตี้ และ น้ำมะพร้าวสด ที่มีกลิ่นหอมคล้ายใบเตยมาช่วยคลายร้อนในซัมเมอร์นี้ จำหน่ายถึง 31 พ.ค. 67 หอมรัญจวนสไตล์ไทยที่ ชาตรามือรังสรรค์ ชาไทยวิปกะทิมะพร้าวน้ำหอม ท็อปปิ้งวิปครีมกะทิจากมะพร้าวน้ำหอมผสานความเข้มข้นของชาไทยสูตรต้นตำรับ จำหน่ายเฉพาะร้านชาตรามือ สาขาเซ็นทรัล นครปฐม เท่านั้น

“กุ้งแม่น้ำ” เนื้อเด้ง มันเยิ้มๆ ที่ Sukishi Korean Charcoal Grill ได้ปรุง 3 เมนูกุ้งแม่น้ำเนื้อแน่น ได้แก่ กุ้งแม่น้ำย่างอบเกลือสไตล์เกาหลี, กุ้งแม่น้ำย่างซอสสไตล์เกาหลีและ กุ้งแม่น้ำอบชีสการ์ลิค วัตถุดิบส่งตรงจากกลุ่มเกษตรกรนครปฐม ในราคา 499 บาททุกรายการ จำหน่ายเฉพาะสาขานครปฐมจำหน่ายถึงวันที่ 30 เมษายน 2567

    นอกจากนี้ ร้านเสน่ห์จันทน์ ก็มีให้เลือกอย่างจุใจถึง 3 เมนู ได้แก่ ข้าวคลุกเสือป่า, แหนมเนืองนครปฐม และ ชีสทาร์ตส้มโอ ทางด้านSalad Factory นำหมูและส้มโอมาครีเอท 3เมนูได้ฟีลแบบไทยในสไตล์ฟิวชั่น ได้แก่ พล่าส้มโอสมุนไพรปลาแซลมอนคิริมิย่าง, สลัดแรพอกไก่ย่าง/กุ้ง และ สเต๊กซี่โครงหมูย่างนครปฐม

    “หมู” วัตถุดิบที่ชาวนครปฐมต่างมองว่าไม่ใช่เรื่องหมูๆ ร้านดังอย่าง SAEMAEUL(แซมาอึล) จึงนำเนื้อหมูพันธุ์ดีของนครปฐมมาสร้างสรรค์เป็นเมนูสไตล์เกาหลีชื่อดัง แชยุก พกกึม หรือ หมูผัดซอสเผ็ด และ ซุปกิมจิหมู 7 นาที เสิร์ฟพร้อมข้าวสวย BAR B Q PLAZA ยำหมูสามชั้นทอดน้ำปลาร้า คัดสรรหมูพันธุ์ดีนครปฐม เลือกส่วนสามชั้นนำมาทอดจนกรอบนอกนุ่มใน แซ่บนัวด้วยน้ำยำปลาร้าเข้มข้นของ GON, Oishi Ramen สูดเส้นเหนียวนุ่มในชาม อาโกะ ดาชิ คาคุนิ ราเมน หมูสามชั้นเนื้อนุ่มชิ้นใหญ่ ในซุปปลาแห้ง “อาโกะดาชิ” Shabushi หมูสไลซ์ หมูส่วนสันคอที่มีเนื้อติดไขมันปานกลาง พร้อมด้วย หมูนุ่ม ที่ปรุงรสมาอย่างตั้งใจ อร่อยยิ่งขึ้นเมื่อทานคู่กับน้ำจิ้มสุกี้ชาบูชิ

      ปักหมุดไว้ แล้วมาอร่อยล้ำไม่ซ้ำใคร กับปฐมบทใหม่ของความอร่อยด้วยวัตถุดิบท้องถิ่นของดีนครปฐม และรสชาติใหม่ของความสุขสุดว้าวทุกเมนู ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัล นครปฐม

      เกษตรนครปฐม หนุนเกษตรกรผลิตพืชปลอดสาร ก้าวแรกสู่การพลิกโฉมระบบเกษตรสู่ความยั่งยืน

      เกษตรนครปฐม หนุนเกษตรกรผลิตพืชปลอดสาร ก้าวแรกสู่การพลิกโฉมระบบเกษตรสู่ความยั่งยืน

      นางสาวธนนันท์ ศรีสุวะ เกษตรจังหวัดนครปฐม มอบหมายให้ เจ้าหน้าที่สำนักงานเกษตรจังหวัดนครปฐม และเจ้าหน้าที่สำนักงานเกษตรอำเภอพุทธมณฑล สนับสนุนเกษตรกรต้นแบบที่ทำการผลิตพืชปลอดสารพิษ “นายจรัญ มั่นคงดี (ลุงต๋อย)” เกษตรกรที่มีความตั้งใจผลิตพืชปลอดสารพิษมาอย่างยาวนานกว่า 10 ปี ฝ่าฟันอุปสรรคมากมาย เพื่อยืนยันที่จะผลิตพืชผักโดยไม่ใช้สารเคมี ปรับเปลี่ยนมาเป็นการใช้สารอินทรีย์ เพราะมีความเชื่อว่า ทุกคนควรรับประทานอาหารที่ปลอดภัย จึงตั้งใจแน่วแน่ในการที่จะเป็นเกษตรกรต้นน้ำ เป็นผู้ผลิตวัตถุดิบที่ปลอดสารพิษ ในพื้นที่ตำบลศาลายา อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม


      จากการสัมภาษณ์ เกษตรกรกล่าวว่า ได้เริ่มทำเกษตรปลอดสารพิษมาตั้งแต่ พ.ศ. 2551 จากการทำร่วมกับ คุณลำพึง ศรีสาหร่าย เกษตรกรต้นแบบที่ริเริ่มทำเกษตรปลอดสารพิษ จากหัวใจสีเขียว เริ่มต้นเข้ามาปลูกผักบนเนื้อที่ 4 ไร่ ด้านข้างของคณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยมหิดล เนื่องจากได้รับโอกาสจากมหาวิทยาลัยมหิดล สนับสนุนพื้นที่ในการปลูกผักปลอดสารเคมีในรั้วมหาวิทยาลัย เพื่อให้บุคลากรภายในมหาวิทยาลัย และผู้มาเยือนจากภายนอกได้มีโอกาสบริโภคผักที่ปลอดภัย

      การทำสวนผัก มีลักษณะการปลูกแบบยกร่อง เน้นปลูกผักตามฤดูกาล เป็นพืชผักสวนครัวมากกว่า 20 ชนิด เช่น คะน้า แฟง โหระพา ผักโขม ถั่วพู กะหล่ำปลี เป็นต้น แม้ว่าช่วงแรกผลผลิตจะยังไม่เป็นที่น่าพอใจ แต่ได้มีการพัฒนาจนคุณภาพเป็นที่น่าพอใจ เป็นที่ชื่นชอบของผู้บริโภค โดยเห็นว่าผักของที่สวนอร่อยกว่าผักที่ใช้สารเคมีทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นรสชาติ เนื้อสัมผัส และที่สำคัญความเชื่อมั่นต่อผลผลิตที่ปลอดภัยต่อสุขภาพ หลังจากที่ คุณลำพึง ศรีสาหร่าย เสียชีวิตลง ลุงต๋อย ก็ได้ดำเนินกิจกรรมภายในสวน โดยการบริหารงานของลูกชายคุณลำพึง ศรีสาหร่าย ต่อมาจนถึงปัจจุบัน

         โดยยึดหลักที่ว่า การทำเกษตรปลอดสารพิษ ไม่ใช้สารเคมี เน้นสร้างและบำรุงดินให้มีคุณภาพ การใช้สารชีวภัณฑ์ ปุ๋ยหมัก และน้ำหมักชีวภาพ เพื่อสร้างพืชที่แข็งแรง ทนต่อโรคและแมลง สร้างระบบนิเวศที่อุดมสมบูรณ์ มีศัตรูธรรมชาติ ตัวห้ำ ตัวเบียน ช่วยในการจัดการโรคและแมลงขณะนี้ผักภายในสวน นอกจากจะเป็นผักสวนครัวตามฤดูกาลแล้ว ยังเป็นผักที่ปลูกตามความต้องการจากผู้บริโภค มีวางจำหน่ายบริเวณหน้าร้าน “ผักปลอดสารพิษเพื่อสุขภาพ” ด้านหน้าของคณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยมหิดล อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม


      เจ้าหน้าที่สำนักงานเกษตรจังหวัดนครปฐม และสำนักงานเกษตรอำเภอพุทธมณฑล ได้ให้ความสำคัญกับการทำเกษตรปลอดสารพิษ ได้มีการสนับสนุนทั้งองค์ความรู้ และการเชื่อมโยงเครือข่ายต่างๆ ในด้านการผลิต การแปรรูป และการตลาด พร้อมหนุนเกษตรกรผลิตพืชปลอดสาร ก้าวแรกสู่การพลิกโฉมระบบเกษตรสู่ความยั่งยืน

      นครปฐม.นายก อบจ.ร่วมสืบสานวัฒนธรรมไทยทรงดำ อ.กำแพงแสน

      นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดพร้อมภริยา ร่วมงานวัฒนธรรมไทยทรงดำ อำเภอกำแพงแสน

      วันที่ 17 เมษายน 2567 ที่ศูนย์วัฒนธรรมไทดำ (วัดลาดปลาเค้า) ต.สระสี่มุม อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม
      นายจิรวัฒน์ สะสมทรัพย์ นายกอบจ.นครปฐม พร้อมด้วย นางวิลาสินี สะสมทรัพย์ ภริยา และสมาชิกสภา อบจ., หัวหน้าส่วนราชการ เจ้าหน้าที่ อบจ.นครปฐม ร่วมเป็นประธานเปิดโครงการ “ส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมประเพณีท้องถิ่นไทยทรงดำ อ.กำแพงแสน ประจำปี 2567 

      งานประเพณีวัฒนธรรมชาวไทยทรงดำครั้งนี้ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครปฐมกล่าวว่า อบจ.ตระหนักถึงความสำคัญในกิจกรรมวัฒนธรรมประเพณี ของชาวนครปฐมทุกเชื้อชาติ เรายินดีการส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมประเพณีท้องถิ่นไทยทรงดำและวัฒนธรรมท้องถิ่นอื่นๆ ด้วย เพื่อให้สืบทอดถึงลูกถึงหลานในอนาคตต่อไปเป็นอย่างดี

      นครปฐม.นายก อบจ.ร่วมสืบสานวัฒนธรรมไทยทรงดำ อ.กำแพงแสน

      นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดพร้อมภริยา ร่วมงานวัฒนธรรมไทยทรงดำ อำเภอกำแพงแสน

      วันที่ 17 เมษายน 2567 ที่ศูนย์วัฒนธรรมไททรงดำ (วัดลาดปลาเค้า) ต.สระสี่มุม อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม
      นายจิรวัฒน์ สะสมทรัพย์ นายกอบจ.นครปฐม พร้อมด้วย นางวิลาสินี สะสมทรัพย์ ภริยา และสมาชิกสภา อบจ., หัวหน้าส่วนราชการ เจ้าหน้าที่ อบจ.นครปฐม ร่วมเป็นประธานเปิดโครงการ “ส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมประเพณีท้องถิ่นไทยทรงดำ อ.กำแพงแสน ประจำปี 2567 

      งานประเพณีวัฒนธรรมชาวไทยทรงดำครั้งนี้ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครปฐมกล่าวว่า อบจ.ตระหนักถึงความสำคัญในกิจกรรมวัฒนธรรมประเพณี ของชาวนครปฐมทุกเชื้อชาติ เรายินดีการส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมประเพณีท้องถิ่นไทยทรงดำและวัฒนธรรมท้องถิ่นอื่นๆ ด้วย เพื่อให้สืบทอดถึงลูกถึงหลานในอนาคตต่อไปเป็นอย่างดี

      สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ  เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิด “ห้องสมุดพร้อมปัญญา” เรือนจำกลางนครปฐม

      สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิด “ห้องสมุดพร้อมปัญญา” เรือนจำกลางนครปฐม

      วันที่ 16 เมษายน 2567 เวลา 13.29 น. สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิด “ห้องสมุดพร้อมปัญญา” เรือนจำกลางนครปฐม โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลแขวงนครปฐม ช่วยทำงานชั่วคราวในตำแหน่ง ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดนครปฐม ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 11 ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครปฐม รองปลัดกระทรวงยุติธรรม อธิบดีกรมราชทัณฑ์ ผู้บัญชาการเรือนจำกลางนครปฐม นายกเหล่ากาชาดจังหวัดนครปฐม และผู้อำนวยการสถาบันกักกันนครปฐม เฝ้าทูลละอองพระบาทรับเสด็จ

      ในการนี้ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระราชทานเข็มที่ระลึกแก่ผู้บริหารและผู้มีอุปการคุณสนับสนุนการดำเนินงาน “ห้องสมุดพร้อมปัญญา” พร้อมทอดพระเนตรการแสดงชุดระบำไดโนเสาร์และลำตัด จากนั้น ทรงเปิดแพรคลุมป้าย “ห้องสมุดพร้อมปัญญา” ซึ่งเป็นห้องสมุดลำดับที่ 31 พร้อมทอดพระเนตรการดำเนินงาน “ห้องสมุดพร้อมปัญญา” เรือนจำกลางนครปฐม ซึ่งเป็นโครงการที่สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระราชทานให้ เพื่อเป็นแหล่งการเรียนรู้และพัฒนาพฤตินิสัยผู้ต้องขัง ตลอดจนเจ้าหน้าที่ในเรือนจำทั่วประเทศ ได้รู้หนังสือ อ่านออก เขียนได้ และรักการอ่าน ทำให้ผู้ต้องขังเกิดความคิดและปัญญาที่ดี นอกจากเป็นการพัฒนาคนที่มีคุณภาพกลับคืนสู่สังคมแล้ว ยังมีมูลน่าเชื่อว่าผู้มีการศึกษาสูง จะช่วยลดการกระทำความผิดลงได้ และไม่กระทำผิดซ้ำ โดยมีสมาคมห้องสมุดแห่งประเทศไทย ในพระราชูปถัมภ์ฯ เข้ามาสนับสนุนการดำเนินงาน

      สำหรับห้องสมุดแห่งนี้เป็นแหล่งเรียนรู้ในรูปแบบห้องสมุดเชิงสร้างสรรค์ หรือ Creative Library เป็นการออกแบบแนวคิดห้องสมุดเชิงสร้างสรรค์ โดยผู้ต้องขังร่วมกันพัฒนา และออกแบบห้องสมุด ตั้งแต่วัสดุอุปกรณ์ของห้องสมุด เช่น ชั้นหนังสือ ที่แสดงหนังสือ โต๊ะ เก้าอี้ โดยการฉลุลาย การเชื่อมเหล็ก และการวาดภาพผ่านลายเส้น ภายในห้องสมุดประกอบด้วยมุมความรู้ต่าง ๆ เช่น มุมซ่อมหนังสือด้วยการเย็บกี่, มุม มสธ., มุมหนังสือทั่วไป, มุมหนังสือพระราชนิพนธ์, มุมเฉลิมพระเกียรติ และห้องอ่านหนังสือเสียง ซึ่งพบว่านิตยสารและวารสาร National Geographic และ The Secret มียอดการยืมสูงสุด โอกาสนี้ พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม ถวายของที่ระลึก แล้วพระราชทานถุงพระราชทานแก่ผู้แทนผู้ต้องขังชาย-หญิง

      จากนั้น ทอดพระเนตรกิจกรรมและนิทรรศการฝึกวิชาชีพผู้ต้องขัง ซึ่งเป็นภาคีเครือข่ายของเรือนจำกลางนครปฐม มีหน่วยงานภาครัฐและเอกชนเข้ามาร่วมสนับสนุนภารกิจ ด้านการพัฒนาพฤตินิสัย การฝึกทักษะอาชีพที่มีความหลากหลาย เช่น การสาธิตการออกแบบลายผ้า การตัดเย็บ และการทอผ้าแบบครบวงจร การสาธิตการทำอาหารไทย และกระทงจากผ้าประดิษฐ์ โดยมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ เข้ามาช่วยสอนการออกแบบลวดลายกระทง เช่น ลายรังแตน และลายเล็บมือนาง การสาธิตการทำเบเกอรี และอาหารนานาชาติ ประกอบด้วยการสอนทำคุกกี้ โดยโรงเรียนจิตรลดาวิชาชีพ สถาบันเทคโนโลยีจิตรลดา สูตรเบเกอรี โดยเรือนจำกลางนครปฐม และฟูดสไตลิสต์ สุทธิพงษ์ สุริยะ หรืออาจารย์ขาบ จากพิพิธภัณฑ์ชุมชนมีชีวิต จังหวัดบึงกาฬ พร้อมด้วยเชฟแบรด ที่มาช่วยสอนการทำเบเกอรีและการออกแบบอาหารต่าง ๆ ให้ดูทันสมัย ผลงานการฝึกอาชีพเปเปอร์มาเช ด้วยการนำกระดาษเหลือใช้มาปั้นเป็นตุ๊กตารูปสัตว์ต่าง ๆ

      นอกจากนี้ มีผลงานการเรียนรู้การฝึกวิชาชีพช่างเชื่อม จากวิทยาลัยสารพัดช่างนครปฐม การสาธิตการฝึกอบรมและทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติ สาขาช่างเชื่อมอาร์กโลหะด้วยมือ มีผู้ต้องขังเข้าอบรม 496 คน, นิทรรศการฝึกวิชาชีพช่างไม้และการแกะสลัก, นิทรรศการฝึกอาชีพศิลปะบำบัดด้วยการวาดภาพ, ผลงานการฝึกอาชีพ การถักเชือกมาคราเม ซึ่งเป็นการถักจากเชือกในรูปแบบต่าง ๆ เช่น กระเป๋า ตุ๊กตา ผ้าคลุมโต๊ะ การถักโครเชต์ตุ๊กตา ซึ่งผู้ต้องขังมีพื้นฐานการถักโครเชต์มาก่อน จากนั้นมาแกะแบบแล้วถักเป็นตุ๊กตารูปต่าง ๆ ตามจินตนาการ ผลงานจากการฝึกวิชาชีพด้านการเพาะพันธุ์ปลาสวยงามและการประดิษฐ์หินเทียมจากเศษวัสดุเหลือใช้ นิทรรศการฝึกวิชาชีพศิลปะบำบัดด้วยการปั้นพระ การออกแบบทรงผมชายและหญิง สำหรับผลงานของผู้ต้องขังจะนำไปจำหน่ายตามห้างสรรพสินค้า เพื่อสร้างรายได้ให้แก่ผู้ต้องขัง นำไปใช้เป็นทุนสะสมหลังพ้นโทษ ซึ่งผู้ต้องขังมีโอกาสเรียนรู้วิชาชีพผ่านระบบออนไลน์ เมื่อเรียนจบสามารถรับวุฒิบัตรวิชาชีพ จากกรมพัฒนาฝีมือแรงงานผ่านระบบออนไลน์

      ทั้งนี้ เรือนจำกลางนครปฐม มีอำนาจการควบคุมผู้ต้องขังที่กำหนดโทษจำคุกตั้งแต่ 15 ปี ถึงตลอดชีวิต ปัจจุบันมีผู้ต้องขังอยู่ในความควบคุม จำนวน 4,015 คน แบ่งออกเป็นผู้ต้องขังชาย จำนวน 3,610 คน และผู้ต้องขังหญิง จำนวน 405 คน


      สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดนครปฐม – ภาพ/ข่าว

      นครปฐม เตรียมจัดโครงการบรรพชาสามเณรภาคฤดูร้อน เฉลิมพระเกียรติฯ เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ

      จังหวัดนครปฐม ประชุมเตรียมความพร้อม จัดโครงการบรรพชาสามเณรภาคฤดูร้อน เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567

      นายยงยุทธ สวนทอง รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม

      วันที่ 17 เมษายน 2567 ที่ห้องประชุม CCTV ชั้น 2 ศาลากลางจังหวัดนครปฐม นายยงยุทธ สวนทอง รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม เป็นประธานประชุมหารือการดำเนินโครงการบรรพชาสามเณรภาคฤดูร้อน เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 จังหวัดนครปฐม

        โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมในครั้งนี้ ทั้งนี้กระทรวงมหาดไทย ได้ขอให้จังหวัดดำเนินโครงการ และประชาสัมพันธ์เชิญชวนกลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ เด็กเยาวชนไทยที่กำลังศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-6 หรือมีอายุ 12-19 ปี เข้าร่วมโครงการสามเณรภาคฤดูร้อน ณ วัดที่จังหวัดกำหนด ซึ่งขณะนี้ มีผู้สมัครเข้าร่วมโครงการ จำนวน 102 คน

      สำหรับจังหวัดนครปฐม กำหนดจัดโครงการบรรพชาสามเณรภาคฤดูร้อน เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 ระหว่างวันที่ 20 เมษายน – 6 พฤษภาคม 2567 ณ วัดสำโรง ตำบลวัดสำโรง อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม ซึ่งมีกำหนดการดังนี้

      • วันที่ 18 เมษายน 2567 กิจกรรมจิตอาสา และประชาชน จะร่วมกันทำความสะอาด จัดเตรียมสถานที่ ณ วัดสำโรง อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม
      • วันที่ 20 เมษายน 2567 ปฐมนิเทศ – ซ้อมขานนาค
      • วันที่ 21 เมษายน 2567 เวลา 15.00 น. พิธีปลงผม ณ ศาลาอเนกประสงค์วัดสำโรง อ.นครชัยศรี
      • วันที่ 22 เมษายน 2567 เวลา 09.00 น. พิธีมอบผ้าไตร และเวลา 13.00 น.บรรพชาสามเณร ณ ศาลาอเนกประสงค์วัดสำโรง อ.นครชัยศรี
      • วันที่ 23 เมษายน 2567 เวลา 08.30 น. พิธีทำบุญตักบาตร ณ ศาลาอเนกประสงค์วัดสำโรง อ.นครชัยศรี
      • วันที่ 24 เมษายน – 5 พฤษภาคม 2567 ศึกษาและปฏิบัติธรรมระหว่างบรรพชา
      • วันที่ 6 พฤษภาคม 2567 เวลา 09.00 น. พิธีลาสิกขา

      ขอเชิญประชาชนผู้มีจิตศรัทธาร่วมงาน โครงการบรรพชาสามเณรภาคฤดูร้อน เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 ตามวันและเวลาดังกล่าว สำหรับผู้ประสงค์จะร่วมทำบุญตามกำลังศรัทธา ได้ ณ สำนักงานคลังจังหวัดนครปฐม ชั้น 1 ศาลากลางจังหวัดนครปฐม ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป หรือวัดสำโรง อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม ตั้งแต่วันที่ 20 เมษายน -6 พฤษภาคม 2567 ดังนี้
      ผ้าไตรจีวรสามเณร ชุดละ 1,000 บาท
      ภัตตาหารเช้า วันละ 5,000 บาท
      ภัตตาหารเพล วันละ 8,000 บาท
      น้ำปานะ วันละ 2,000 บาท
      ทั้งนี้ ท่านสามารถรวบรวมเงินและทำบุญในนามส่วนราชการ/หน่วยงานได้ และออกใบอนุโมทนาบัตรของวัดสำโรง อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม ติดต่อสอบถามรายละเอียดได้ที่ คุณขวัญใจ เหลืองดอกไม้ นักวิชาการคลัง ชำนาญการพิเศษ สนง.คลังจังหวัดนครปฐม โทร. 062-5632995


      สนง.ประชาสัมพันธ์จังหวัดนครปฐม – ภาพ/ข่าว

      หลวงพี่น้ำฝน นำศิษยานุศิษย์ ดูพื้นที่เกาะสมุย เตรียมก่อสร้างวัด- หลวงพ่อพารวย แลนด์มาร์คใหม่บนเกาะพะลวย อ. เกาะสมุย

      ศิษยานุศิษย์และนักธุรกิจ นิมนต์หลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม เดินทางสำรวจพื้นที่สำหรับการก่อสร้าง หลวงพ่อพารวย และจัดตั้ง วัดพารวยเทวาราม บนพื้นที่ เกาะพะลวย ตำบลอ่างทอง อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยตั้งเป้าเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวบ้านในชุมชนและเป็นที่สักการะสำหรับนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ ซึ่งเป็นเกาะอนุรักษ์พลังงานหรือ Green Island กรีน ไอ-แล็นด แห่งเดียวในประเทศไทย ที่กำลังได้รับความสนใจในการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์

      วันนี้ 15 เมษายน 67 พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ (หลวงพี่น้ำฝน) เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม ต.พระปฐมเจดีย์ อ.เมือง จ.นครปฐม เผยว่าคณะศิษยานุศิษย์และกลุ่มนักธุรกิจ นำโดยคุณวสันต์ คงสมนาม ได้เข้าขอคำปรึกษาและนิมนต์ให้ไปดูสถานที่ในการก่อสร้างวัดและพระใหญ่ บริเวณจุดชมวิวอีโค่ หินผาตั้ง ซึ่งตั้งอยู่บนเกาะพะลวย หมู่ที่6 ตำบลอ่างทอง อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งเป็นสถานที่ที่มีความสมบูรณ์ทางธรรมชาติเป็นอันดับต้นๆ พื้นที่หมู่เกาะต่างๆ ในจังหวัดสุราษฎร์ธานี

      หลวงพี่น้ำฝน กล่าวว่า ในการเข้าสำรวจพื้นที่ดังกล่าวพบว่าจุดชมวิวอีโค่ หินผ้าตั้ง เป็นจุดที่มีความเหมาะสมในการก่อสร้างพระใหญ่ ซึ่งได้มีให้ชื่อว่า “หลวงพ่อพารวย” โดยจะมีการจัดตั้งวัดพารวยเทวาราม ไปพร้อมกัน ซึ่งมีวัตถุประสงค์ให้เป็นพระที่คู่บ้านคู่เมือง บนเกาะพะลวย เป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวเกาะพะลวย โดยเมื่อนักท่องเที่ยวเดินทางมาถึงโดยเรือเฟอร์รี่ หรือเรือโดยสารจากทั้งฝั่งจังหวัดสุราษฎร์ธานี หรือจากเกาะสมุย ก่อนเรือจะเทียบท่าจะสามารถมองเห็นความงดงามของ หลวงพ่อพารวย ซึ่งกำลังกำหนดขนาดว่าเป็นพระพุทธเมตตาปางประทานพร ขนาดความสูง 15-20 เมตร เมื่อนักท่องเที่ยวมาถึงก็จะสามารถกราบขอพรเพื่อความเป็นสิริมงคลได้ และทราบว่าเกาะดังกล่าวเป็นพื้นที่ที่มีความสมบูรณ์ทางธรรมชาติที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นกรีนไอแลนด์ เชื่อว่าจะมีนักท่องเที่ยวสายอนุรักษ์ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเข้ามาชมความงดงามโดยเฉพาะการได้ชมนกเงือก ซึ่งชาวบ้านได้ช่วยกันอนุรักษ์ให้อยู่กับชุมชนเป็นเอกลักษณ์ที่เป็นรูปแบบชุมชนที่เหมาะสำหรับคนที่รักสงบและต้องการมาอยู่ใกล้กับธรรมชาติอย่างแท้จริง

      สำหรับ เกาะพะลวย เป็นเกาะที่เป็นเกาะหินปูนเกือบทั้งเกาะ ซึ่งมีการถูกกัดกร่อนจนทำให้มีหน้าผารูปร่างหน้าตาแปลกๆหลายแห่ง และเป็นเกาะแห่งเดียวในประเทศที่เป็นพื้นที่อนุรักษ์พลังงาน โดยเป็นการใช้พลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ทุกครัวเรือน ส่วนชื่อที่มาของเกาะพะลวย มาจากหลายแนวคิดคือ เกาะพะลวยมียอดเขาแหลม 3 ยอด มีลักษณะคล้ายพลวยน้ำ บ้างก็บอกว่าเห็นควันไฟพลวยพุ่งขึ้นมาจากยอดเขา บางคนก็เชื่อว่าเกิดจากพื้นที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์สามารถทำมาหากินได้อย่างสะดวกเลยมีชื่อว่าเกาะมารวย และเพี้ยนมาเป็นเกาะพะลวย แนวคิดสุดท้ายคือ เชื่อว่ามีพระธุดงค์ มาจากสวนโมกข์ได้เดินทางมาพร้อมกับชาวบ้านโดยตั้งชื่อเกาะแห่งนี้ไว้ 2 ชื่อ ชื่อแรกคือเกาะพะลวย และอีกชื่อคือ เกาะพุทธรักษาธรรมคุ้มครอง

      สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวในเกาะพะลวย 1. ถ้ำสามบ่อ 2. อ่าวสองพี่น้อง (พื้นที่ดำน้ำชมปะการัง) 3. อ่าวเทียน จะมีทะเลแหวก ต่อไปยังเกาะหัวค่างทัก และ 4. อ่าวสน 5. อ่าว 1 – 4 จุดชมวิว 360 องศา อี มีจุดชมวิว 360 องศา ชมวิวได้รอบทิศ เป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยว ที่กำลังได้รับการจับจากนักท่องเที่ยว เนื่องจากอยู่ไม่ห่างจากหมู่เกาะอ่างทอง ในจังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งมีสถานที่ท่องเที่ยวอยู่ติดกันอีกหลายแห่งด้วย

      รองผู้ว่าฯ นครปฐม ให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ประจำจุดตรวจ บริการประชาชน  ในพื้นที่อำเภอกำแพงแสนและอำเภอดอนตูม

      รองผู้ว่าราชจังหวัดนครปฐม ให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ประจำจุดตรวจ จุดบริการประชาชน และด่านชุมชนช่วงเทศกาลสงกรานต์ ในพื้นที่อำเภอกำแพงแสนและอำเภอดอนตูม ในการเฝ้าระวังเพื่อลดการเกิดอุบัติเหตุ ผู้บาดเจ็บ และเสียชีวิต

      วันที่ 15 เมษายน 2567 นางสาวอโรชา นันทมนตรี รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม พร้อมด้วย หน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง ตรวจเยี่ยมการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ประจำจุดตรวจ จุดบริการประชาชน และด่านชุมชนช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2567 ในพื้นที่อำเภอกำแพงแสน ได้แก่ บริเวณป้อมตำรวจทางหลวง ถนนมาลัยแมน กม.34 (ขาเข้า นฐ.) และหน้าสถานีตำรวจภูธรกำแพงแสน ตำบลทุ่งกระพังโหม โดยมีนายชูฉัตร ประมูลผล เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ) พร้อมคณะลงพื้นที่ตรวจพร้อมมอบสิ่งของในครั้งนี้

      จากนั้น รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม ได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมในพื้นที่อำเภอดอนตูม ได้แก่ บริเวณหน้าสำนักงานเทศบาลตำบลสามง่าม และบริเวณหน้าที่ทำการองค์การบริหารส่วนตำบลบ้านหลวง เพื่อให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ โดยมีผู้แทนนายอำเภอ เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง ตำรวจ เจ้าหน้าที่สาธารณสุข องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ร่วมปฏิบัติหน้าที่ตลอด 24 ชั่วโมง โดยรองผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม ได้มอบน้ำดื่ม เครื่องดื่มชูกำลัง และอาหารสำเร็จรูปต่างๆ

      เพื่อเป็นขวัญกำลังใจในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ พร้อมกำชับเจ้าทุกฝ่าย ร่วมกันเฝ้าระวัง กระตุ้นเตือนพี่น้องประชาชนในพื้นที่ ให้ประชาชนปฏิบัติตามกฎจราจร สวมหมวกนิรภัย ไม่ขับรถเร็ว เมาไม่ขับ ตลอดจนเน้นย้ำ สร้างการรับรู้ และประชาสัมพันธ์ให้ทั่วถึง โดยให้ใช้มาตรการทางด้านสังคม ควบคู่ไปกับมาตรการบังคับใช้กฎหมาย เพื่อพี่น้องประชาชนเดินทางปลอดภัย ลดการเกิดอุบัติเหตุ ผู้บาดเจ็บ และเสียชีวิต ให้ได้มากที่สุด นอกจากนีัได้กำชับเจ้าหน้าที่เตรียมความพร้อมร่างกาย และดูแลสุขภาพควบคู่ไปด้วยเนื่องจากอากาศร้อนมาก อาจส่งผลต่อสุขภาพภาพได้

        สำหรับศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนจังหวัดนครปฐม ได้รายงาน ข้อมูลอุบัติเหตุทางถนนช่วงควบคุมเข้มข้น เทศกาลสงกรานต์ พ.ศ. 2567 ข้อมูลสถิติอุบัติเหตุทางถนน จ.นครปฐม สะสม 4 วัน เกิดอุบัติเหตุ 17 ครั้ง มีผู้บาดเจ็บ (Admit) 15 ราย และมีเสียชีวิต 3 ราย

      สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดนครปฐม – ภาพ/ข่าว

      รองผู้ว่าฯ นครปฐม ตรวจจุดบริการประชาชนช่วงเทศกาลสงกรานต์ ที่เฝ้าระวังเพื่อลดอุบัติเหตุ

      รองผู้ว่าราชจังหวัดนครปฐม ให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ประจำจุดตรวจ จุดบริการประชาชน และด่านชุมชนช่วงเทศกาลสงกรานต์ ในพื้นที่อำเภอนครชัยศรี และอำเภอบางเลน ในการเฝ้าระวังเพื่อลดการเกิดอุบัติเหตุ ผู้บาดเจ็บ และเสียชีวิต

      เมื่อวันที่ 13 เมษายน 2567 นายธีรยุทธ์ จันทร์ดิษฐวงษ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม พร้อมด้วย หน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง ตรวจเยี่ยมการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ประจำจุดตรวจ จุดบริการประชาชน และด่านชุมชนช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2567

         โดยตรวจในพื้นที่ 2 อำเภอได้แก่ อ.นครชัยศรี  บริเวณหน้าศูนย์พัฒนาเด็กเล็กเทศบาลตำบลขุนแก้ว และบริเวณสี่แยกวัดละมุด ตำบลวัดละมุด และพื้นที่อำเภอบางเลน ได้แก่ บริเวณป้อมตำรวจ สายตรวจตำบลหินมูล หมู่ที่ 5 ทางหลวงหมายเลข 3231 สายเด่นมะขาม และบริเวณป้อมตำรวจ ศูนย์บริการประชาชนตลาดบางหลวง เพื่อให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ โดยมีผู้แทนนายอำเภอ เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง ตำรวจ เจ้าหน้าที่สาธารณสุข องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ร่วมปฏิบัติหน้าที่ตลอด 24 ชั่วโมง

      โดยรองผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม ได้มอบน้ำดื่ม เครื่องดื่มชูกำลัง และอาหารสำเร็จรูปต่างๆ เพื่อเป็นขวัญกำลังใจในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ พร้อมกำชับเจ้าทุกฝ่าย ร่วมกันเฝ้าระวัง กระตุ้นเตือนพี่น้องประชาชนในพื้นที่ ให้ประชาชนปฏิบัติตามกฎจราจร สวมหมวกนิรภัย ไม่ขับรถเร็ว เมาไม่ขับ ตลอดจนเน้นย้ำ สร้างการรับรู้ และประชาสัมพันธ์ให้ทั่วถึง โดยให้ใช้มาตรการทางด้านสังคม ควบคู่ไปกับมาตรการบังคับใช้กฎหมาย เพื่อพี่น้องประชาชนเดินทางปลอดภัย ลดการเกิดอุบัติเหตุ ผู้บาดเจ็บ และเสียชีวิต ให้ได้มากที่สุด


      สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดนครปฐม – ภาพ/ข่าว

      นครปฐม เปิดงานประเพณีสงกรานต์ประจำปี 2567 พร้อมเชิญชวนสรงน้ำพระบรมสารีริกธาตุ และพระร่วงฯ จำลอง

      จังหวัดนครปฐมเปิดงานประเพณีสงกรานต์ประจำปี 2567 โดยประชาชนร่วมสรงน้ำพระบรมสารีริกธาตุ และพระร่วงฯจำลอง

      วันที่ 13 เมษายน 2567 ที่บริเวณองค์พระปฐมเจดีย์ อำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม นางสาวอโรชา นันทมนตรี รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม เป็นประธานเปิดงานประเพณีสงกรานต์ประจำปี 2567 โดยมี นางฐิติรัตน์ เรืองสังข์ วัฒนธรรมจังหวัดนครปฐม นายกพุทธสมาคมจังหวัด ข้าราชการ และประชาชน ร่วมพิธี ซึ่งวันที่ 13 เมษายนของทุกปี ถือเป็นวันขึ้นปีใหม่ของชาวไทยมาตั้งแต่สมัยโบราณ

        จังหวัดนครปฐมจึงได้จัดกิจกรรมดังกล่าวเพื่อรักษาประเพณีและวัฒนธรรมอันเป็นมรดกของไทย อีกทั้งให้ประชาชนได้มีโอกาสร่วมบำเพ็ญกุศลตามประเพณี และเสริมสร้างความสามัคคีระหว่างวัดกับประชาชน ดำรงไว้ซึ่งพระพุทธศาสนา โดยกิจกรรมภายในงานประเพณีสงกรานต์ในปีนี้ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม ได้นำประชชนที่มาร่วมงาน สรงน้ำพระบรมสารีริกธาตุ และสรงน้ำพระร่วงโรจนฤทธิ์ฯ จำลอง บริเวณหน้าองค์พระปฐมเจดีย์ และถวายผ้าห่มบูชาองค์พระปฐมเจดีย์

      จากนั้นได้ร่วมสรงน้ำพระธรรมวชิรเจติยาจารย์ ที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค 14 รองเจ้าอาวาสวัดพระปฐมเจดีย์ ราชวรมหาวิหาร พร้อมสรงน้ำพระสงฆ์ 9 รูป
      สำหรับบรรยากาศภายในงานประเพณีสงกรานต์ที่องค์พระปฐมเจดีย์ ตลอดทั้งวันมีประชาชนและนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเป็นจำนวนมาก ต่างเดินทางพาครอบครัวมากราบไหว้สักการะปิดทองและสรงน้ำพระร่วงโรจนฤทธิ์ฯจำลอง สรงน้ำพระบรมสารีริกธาตุ ร่วมก่อเจดีย์ทราย ทำบุญถวายผ้าห่มองค์พระปฐมเจดีย์ และทำบุญถวายสังฆทาน เพื่อความเป็นสิริมงคล ต้อนรับประเพณีวันสงกรานต์ ซึ่งถือเป็นวันขึ้นปีใหม่ของชาวไทย

        สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดนครปฐม ภาพ /ข่าว

      หนึ่งปีมีครั้งเดียว ถวายผ้าห่มพระใหญ่ “หลวงพ่อสมหวัง” วัดกลางบางพระ

      มวลชนแห่ร่วมงานบุญใหญ่หนึ่งปีมีครั้งเดียว พิธีถวายผ้าห่มพระใหญ่”หลวงพ่อสมหวัง ” วัดกลางบางพระ

         ที่วัดกลางบางพระ ต.บางพระ อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม ได้มีพิธีถวายผ้าห่ม พระพุทธรูปปางมารวิชัยขนาดใหญ่ หรือ”หลวงพ่อสมหวัง ตามที่ผู้เคารพศรัทธารู้จักกันดี

      หลวงพ่อสมหวัง เป็นพระพุทธรูปที่ประดิษฐานอยู่บริเวณลานกลางวัด ของวัดกลางบางพระ ต.บางพระ อ.นครชัยศรี ตามคำล่ำลือว่าท่านศักดิ์สิทธิ์มาก ขออะไรท่านให้มากน้อยตามวาสนา บุญกรรมของผู้นั้น ด้วยในอดีตสมัย หลวงพ่อพุฒ อดีตเจ้าอาวาส ได้กล่าวไว้กับชาวบ้านว่า มีญาติโยมมากมายต่างมาขอพรพระพุทธรูปปางมารวิชัย องค์ใหญ่ และบนให้สิ่งนั้นสัมฤทธิ์ สำเร็จ สมหวัง แล้วจะนำลำโพงมาประดิษฐ์ ประดับที่เสากลางวัด เรื่อยมาจนเข้าสู่พระครูศรีสุตากร เจ้าอาวาสวัดกลางบางพระ รูปปัจจุบันจึงได้ขนานนามพระพุทธรูปปางมารวิชัย องค์ใหญ่ นี้ว่า “ หลวงพ่อสมหวัง” ตามความศักดิ์สิทธิ์ของท่าน ที่ให้ลูกหลาน สมหวังในเรื่อง ลาภ ยศ สุข สรรเสริญ และเพื่อเป็นมงคลนามแด่ พระพุทธรูปปางมารวิชัยองค์ใหญ่นี้ และเพื่อเป็นมงคลนามแก่พุทธศาสนิกชนที่มากราบไหว้ ขอพร คิดอะไรไม่ออก ก็ขอให้สมหวัง ไว้ก่อน

        ปัจจุบันจะมีพุทธศาสนิกชน ขาวไทย ชาวไทยเชื้อสายจีน ชาวเมียนมาและชาวต่างชาติอื่นๆ บินข้ามน้ำ ข้ามทะเลมากราบไหว้ขอพรหลวงพ่อสมหวังกันจำนวนมาก

        และในทุกวันที่ 15 เมษายน 2567 ที่จะถึงนี้ของทุกปี พระครูศรีสุตากร เจ้าอาวาสวัดกลางบางพระ ที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดนครปฐม คณะสงฆ์ไวยาวัจกร และศิษยานุศิษย์ พร้อมประชาชนใกล้เคียง จะมาร่วมพิธีห่มผ้าหลวงพ่อสมหวัง ที่เป็นผ้าขนาดใหญ่ความยาวประมาณ 72 เมตร (องค์หลวงพ่อสูง 32เมตร)

      โดยพิธีจะเริ่มในช่วงเวลา 14.00 น.จะมีริ้วขบวนแห่ของชุมชน นำผ้าห่มหลวงพ่อแห่ไปรอบวัด แล้วขึ้นห่มองค์หลวงพ่อสมหวัง  พิธีห่มผ้าจะจัดขึ้นปีละครั้งเท่านั้นเรียกได้ว่าบุญใหญ่ 1ปี มีครั้งเดียว คนที่มาร่วมงาน ถือว่าการได้ห่มผ้าพระพุทธรูปปางมารวิชัยองค์ใหญ่ (ปางปราบมาร) จะได้บุญ 108 ประการ จะสุขสมหวังทุกประการ ตามมงคลนาม”หลวงพ่อสมหวัง” อย่าลืมวันจันทร์ ที่15 เมษายน 2567 เวลา 14.00 น. มาร่วมพิธีแห่ผ้าห่มหลวงพ่อสมหวังกัน จะได้โชคดีปีมังกรทองถ้วนหน้ากัน

      ทวีพล หลิมชัยสุวรรณ ภาพ-ข่าว

      หนึ่งปี มีครั้งเดียว ถวายผ้าห่มพระใหญ่ “หลวงพ่อสมหวัง” วัดกลางบางพระ

      มวลชนแห่ร่วมงานบุญใหญ่หนึ่งปีมีครั้งเดียว พิธีถวายผ้าห่มพระใหญ่”หลวงพ่อสมหวัง ” วัดกลางบางพระ

         ที่วัดกลางบางพระ ต.บางพระ อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม ได้มีพิธีถวายผ้าห่ม พระพุทธรูปปางมารวิชัยขนาดใหญ่ หรือ”หลวงพ่อสมหวัง ตามที่ผู้เคารพศรัทธารู้จักกันดี

        ปัจจุบันจะมีพุทธศาสนิกชน ขาวไทย ชาวไทยเชื้อสายจีน ชาวเมียนมาและชาวต่างชาติอื่นๆ บินข้ามน้ำ ข้ามทะเลมากราบไหว้ขอพรหลวงพ่อสมหวังกันจำนวนมาก

        และในทุกวันที่ 15 เมษายน 2567 ที่จะถึงนี้ของทุกปี พระครูศรีสุตากร เจ้าอาวาสวัดกลางบางพระ ที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดนครปฐม คณะสงฆ์ไวยาวัจกร และศิษยานุศิษย์ พร้อมประชาชนใกล้เคียง จะมาร่วมพิธีห่มผ้าหลวงพ่อสมหวัง ที่เป็นผ้าขนาดใหญ่ความยาวประมาณ 72 เมตร (องค์หลวงพ่อสูง 32เมตร)

      หลวงพ่อสมหวัง เป็นพระพุทธรูปที่ประดิษฐานอยู่บริเวณลานกลางวัด ของวัดกลางบางพระ ต.บางพระ อ.นครชัยศรี ตามคำล่ำลือว่าท่านศักดิ์สิทธิ์มาก ขออะไรท่านให้มากน้อยตามวาสนา บุญกรรมของผู้นั้น ด้วยในอดีตสมัย หลวงพ่อพุฒ อดีตเจ้าอาวาส ได้กล่าวไว้กับชาวบ้านว่า มีญาติโยมมากมายต่างมาขอพรพระพุทธรูปปางมารวิชัย องค์ใหญ่ และบนให้สิ่งนั้นสัมฤทธิ์ สำเร็จ สมหวัง แล้วจะนำลำโพงมาประดิษฐ์ ประดับที่เสากลางวัด เรื่อยมาจนเข้าสู่พระครูศรีสุตากร เจ้าอาวาสวัดกลางบางพระ รูปปัจจุบันจึงได้ขนานนามพระพุทธรูปปางมารวิชัย องค์ใหญ่ นี้ว่า “ หลวงพ่อสมหวัง” ตามความศักดิ์สิทธิ์ของท่าน ที่ให้ลูกหลาน สมหวังในเรื่อง ลาภ ยศ สุข สรรเสริญ และเพื่อเป็นมงคลนามแด่ พระพุทธรูปปางมารวิชัยองค์ใหญ่นี้ และเพื่อเป็นมงคลนามแก่พุทธศาสนิกชนที่มากราบไหว้ ขอพร คิดอะไรไม่ออก ก็ขอให้สมหวัง ไว้ก่อน

      โดยพิธีจะเริ่มในช่วงเวลา 14.00 น.จะมีริ้วขบวนแห่ของชุมชน นำผ้าห่มหลวงพ่อแห่ไปรอบวัด แล้วขึ้นห่มองค์หลวงพ่อสมหวัง  พิธีห่มผ้าจะจัดขึ้นปีละครั้งเท่านั้นเรียกได้ว่าบุญใหญ่ 1ปี มีครั้งเดียว คนที่มาร่วมงาน ถือว่าการได้ห่มผ้าพระพุทธรูปปางมารวิชัยองค์ใหญ่ (ปางปราบมาร) จะได้บุญ 108 ประการ จะสุขสมหวังทุกประการ ตามมงคลนาม”หลวงพ่อสมหวัง” อย่าลืมวันจันทร์ ที่15 เมษายน 2567 เวลา 14.00 น. มาร่วมพิธีแห่ผ้าห่มหลวงพ่อสมหวังกัน จะได้โชคดีปีมังกรทองถ้วนหน้ากัน

      ทวีพล หลิมชัยสุวรรณ ภาพ-ข่าว

      สร้าง “น้าเปี๊ยก” กุมารทองไม้ในตำนานของ”หลวงพ่อกวย”รุ่นแรก

      ต้อม สำนักจันทร์  เซียนพระเครื่องสายตรงหลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม  จัดสร้าง “เปี๊ยก” กุมารทองในกุฏิหลวงพ่อกวย”รุ่นแรก

         ต้อม สำนักจันทร์ ได้กล่าวว่า เปี๊ยก เป็นกุมารทองที่หลวงพ่อกวย เลี้ยงตัวเดียว ซึ่งอยู่ในกุฏิหลวงพ่อตลอด จนถึงหลวงพ่อมรณภาพ   “เปี๊ยก” เป็นกุมารทองที่แกะจากไม้ ฐานเป็นไม้เก่า สูงรวมฐาน 9 นิ้ว หลวงพ่อกวยท่านเลี้ยงไว้ในกุฏิตลอดเวลา หลังจากหลวงพ่อมรณภาพแล้วในปี 2522 ก็ตกทอดมาสู่หลวงตารูปหนึ่งในวัดบ้านแค ซึ่งเป็นศิษย์รุ่นๆ หมอเฉลียว อาจารย์ทรง(ปู่ทรง รอดเล็ก)และพ่อแก่หล่อน มีทั้งกุมารทอง เข็มสัก เอกสารบันทึกลายมือคาถาต่างๆ ที่หลวงพ่อมักกล่าววลีว่า”รักยิ่งกว่ากุมารในกุฏิเสียอีก ”นั่นก็แสดงว่าท่านรักกุมารของท่านมาก

           ด้วยความศักดิ์สิทธิ์ของ “เปี๊ยก กุมารทองในกุฏิหลวงพ่อกวย” ที่มีผู้คนต่างได้ยินเสียงเล่าลือ จึงมีผู้เดินทางมาจากทั่วสารทิศ เป็นจำนวนมากอย่างต่อเนื่อง เพื่อมาเซ่นไหว้ ขอพร ต่างและได้สิ่งที่ตนปรารถนา สำเร็จในสิ่งที่หวัง “เปี๊ยก กุมารทองในกุฏิพ่อกวย” จึงสั่งสมบารมีมากพอ  จึงเป็นเวลาอันเหมาะสมที่จะมีการจัดสร้างวัตถุมงคลในรูปแบบกุมารทอง “เปี๊ยก กุมารทองในกุฎิหลวงพ่อกวย” มีทั้งขนาด พกพา 1 นิ้ว และ ขนาดบูชา 8.8 นิ้ว รวมถึงขนาดใหญ่เท่าคนจริง สูง 2 เมตร

        ในส่วนของพิธีปลุกเสก “เปี๊ยก กุมารทองในกุฏิหลวงพ่อกวย”  ปลุกเสก 7 พิธี 7วาระ พิธีเสาร์5 และมหาฤกษ์ กระทิงวันกระทิงเดือนกระทิงปี นานทีจะมีสักครั้ง
      ในช่วงเช้าวันอังคารที่ 9 เมษายน 2567 ได้รับความเมตตาจาก เจ้าประคุณสมเด็จพระมหารัชมงคลมุนี (ธงชัย ธมมฺธโช) เจ้าคณะใหญ่หนกลาง กรรมการมหาเถรสมาคม  วัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร  เมตตาอธิฐานจิต  และจารบนแผ่นยันต์ ลง นะมะอะอุ  แก้ววิเชียร เสริมโชคลาภ การงาน มหาเสน่ห์ขั้นสูง แคล้วคลาด คุ้งครอง ป้องกัน ลงยันต์ บนแผ่นยันต์ ทอง เงิน นาค เพื่อเป็นชนวนหล่อหลอม “เปี๊ยก กุมารทองกุฎิหลวงพ่อกวย”

        ในช่วงค่ำวันที่ 9 เมษายน 2567 มีพิธีปลุกเสกเดี่ยวเป็นปฐมฤกษ์ (เป็นเคล็ดว่าเกิดตามนามพระอาจารย์ประสูติ) โดย พระอาจารย์ประสูติ วัดถ้ำพระพุทธโกษีย์ (วัดในเตา) ซึ่ง พระอาจารย์ประสูติ ได้กล่าวว่า ฉันทำให้แล้วนะเป็นตัวหมดแล้ว ตั้งอาการ 32 มีฤทธิ์หมดทุกตัว แล้วชื่อเปี๊ยก เนี่ยเขาดังนะ เป็นตัวตลกในหนังตลุง อาจารย์ณรงค์ ตลุงบัณฑิต ศิลปินแห่งชาติ “เปี๊ยกนี่ดัง ฉันทำให้อย่างดี”

        ในช่วงค่ำวันที่ 10 เมษายน 2567  ที่ ซุ้มจอมขมังเวทย์ เทวสถานบ่อทอง   ได้นิมนต์ พระเกจิคณาจารย์ 4 รูป นั่งปรกเจริญจิต ปลุกเสก  ชนวนมวลสาร   “เปี๊ยก กุมารทองในกุฏิหลวงพ่อกวย”
      1.พระครูปลัดสุวัฒนพรหมวิหารคุณ วัดทรงเสวย จังหวัดชัยนาท ได้ลงอักขระบนแผ่นยันต์ชนวนด้วย ลงอิกะวิติ หัวใจพระพุทธเจ้า  ลงหัวใจกุมารทอง ลงนโมพุทธายะ พระพุทธเจ้าห้าพระองค์ ลงพุฒซ้อน ตำรับสายวัดสุทัศฯ
      2.พระอาจารย์แจ้  วัดน้อมประชาสรรค์ จังหวัดอยุธยา  ได้ลงอักขระบนแผ่นยันต์ชนวน ด้วย ลงเมตตามหาลาภ  ลงมหานิยม  ดลจิตดลใจคน  ลงทรัพย์สินเงินทอง  ลงยันต์ครูพระอาจารย์แจ้
      3.หลวงพ่อนพวรรณ คุณสาโร วัดเสนานิมิต จังหวัดอยุธยา  เมตตาอธิฐานจิตปลุกเสก
      4.พระครูโกวิชัยกิจ วัดหัวเด่น จังหวัดชัยนาท เมตตาอธิฐานจิตปลุกเสก และคณาจารย์ฆราวาส  ซุ้มจอมขมังเวทย์ ร่วมพิธี

         วันพฤหัสบดีที่ 11 เมษายน 2567  คณาจารย์ฆราวาส ซุ้มจอมขมังเวทย์  ร่วมกันเสกเดินธาตุกุมาร วันศุกร์ที่12 เมษายน2567  มีพิธี สวดโซฮา ชุบกุมาร วันเสาร์ที่13 เมษายน2567  พิธีเสาร์ห้า  ปีมะโรงที่ 5 วันที่ 5 ขึ้น 5 ค่ำ (มหากระทิง เดือน/ปี/วัน) วันจันทร์ที่15 เมษายน2567  ฉลองสมโภชพญาวัน

         วันที่ 10-11-12 พฤษภาคม 2567   พิธีฉลองสมโภช หลวงปู่ทวดโพธิ์ลังกาแหลมแค  อ.พานทอง จ.ชลบุรี วัดในอุปถัมภ์ สมเด็จพระมหารัชมงคลมุนี (สมเด็จธงชัย วัดไตรมิตรฯ) และมีพระเกจิคณาจารย์ทั่วประเทศ ร่วมปลุกเสก ทั้งหมด 500 รูป/คน โดยครั้งนี้ ต้อม สำนักจันทร์และทีมงาน ต้องการให้ทุกท่านได้สิ่งที่ดีที่สุด “กุมารทองเปี๊ยก” เป็น 1 ในกุมารแห่งสยาม ฉะนั้นแล้วการสร้างครั้งนี้ พิธีเข้มขลัง ยิ่งใหญ่ อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน สมกับเป็นกุมารทองในกุฏิหลวงพ่อกวย…
          โดยก่อนการ เริ่มพิธีปลุกเสก มีศิลปินดารา  มาร่วมกันอย่างคับคั่ง แทคภรัณยู  โก๊ะตี๋  น้าป๋อง กพลทองพลับ ถั่วแระเชิญยิ้ม ร่วมในพิธีปลุกเสกเปี๊ยกกุมารทองในกุฏิหลวงพ่อกวยในครั้งนี้ด้วย รวมทั้งภายในงาน มีกิจกรรม มากมาย รถแห่และศิลปิน แจกทุนการศึกษาเด็กนักเรียน 50 คน กิจกรรมบ้านลมสร้างความสุข ให้เด็กๆ พร้อมมีอาหาร น้ำดื่มแจกฟรีตลอดพิธี

         ผู้สนใจสั่งจองบูชา “น้าเปี๊ยก กุมารทองในกุฏิพ่อกวย”
      ติดต่อทางเพจ facebook หลวงพ่อกวยพระเครื่องมาตรฐานสากล 
      โทร 097-2159265 นพ   062-6650956 แป้ง QR ช่องทางไลน์แอด

      อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ ประดิษฐานหน้าองค์พระปฐมเจดีย์ ให้ประชาชนได้สรงน้ำสักการะ เพื่อความเป็นสิริมงคล ต้อนรับประเพณีวันสงกรานต์ ประจำปี 2567

      จังหวัดนครปฐมอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ ประดิษฐานหน้าองค์พระปฐมเจดีย์ ให้ประชาชนได้สรงน้ำสักการะ เพื่อความเป็นสิริมงคล ต้อนรับประเพณีวันสงกรานต์ ประจำปี 2567

      วันที่ 6 เมษายน 2567 นายสุรศักดิ์ เจริญศิริโชติ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม เป็นประธานพิธีอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ เพื่อให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวได้สรงน้ำสักการะ เนื่องในประเพณีวันสงกรานต์ ประจำปี 2567 ณ บริเวณวิหารหน้าพระร่วงโรจนฤทธิ์ องค์พระปฐมเจดีย์ โดยผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม ได้จุดธูปเทียนบูชาสักการะพระบรมสารีริกธาตุ จากนั้นได้อัญเชิญเวียนประทักษิณรอบองค์พระปฐมเจดีย์ พร้อมด้วย นายกเหล่ากาชาดจังหวัด รองผู้ว่าราชการจังหวัด หัวหน้าส่วนราชการ ข้าราชการ เจ้าหน้าที่จากหน่วยงานต่างๆ และประชาชนชาวจังหวัดนครปฐม เข้าร่วมพิธีเป็นจำนวนมาก

      จากนั้น ผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม ได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุไปประดิษฐานบริเวณลานหน้าพระร่วงโรจนฤทธิ์ องค์พระปฐมเจดีย์ และนำหัวหน้าส่วนราชการ ประชาชน ร่วมสรงน้ำสักการะพระบรมสารีริกธาตุ และพระร่วงโรจนฤทธิ์องค์จำลอง ซึ่งกิจกรรมดังกล่าว ทางวัดพระปฐมเจดีย์ราชวรมหาวิหาร ได้ดำเนินการจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี เพื่อให้ประชาชนได้สรงน้ำพระบรมสารีริกธาตุ เสริมความเป็นสิริมงคล ต้อนรับประเพณีวันสงกรานต์ ซึ่งถือเป็นวันขึ้นปีใหม่ของชาวไทยอีกด้วย


      สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดนครปฐม-ข่าว

      อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ ประดิษฐานหน้าองค์พระปฐมเจดีย์ ให้ประชาชนได้สรงน้ำสักการะ เพื่อความเป็นสิริมงคล ต้อนรับประเพณีวันสงกรานต์ ประจำปี 2567

      จังหวัดนครปฐมอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ ประดิษฐานหน้าองค์พระปฐมเจดีย์ ให้ประชาชนได้สรงน้ำสักการะ เพื่อความเป็นสิริมงคล ต้อนรับประเพณีวันสงกรานต์ ประจำปี 2567

      วันที่ 6 เมษายน 2567 นายสุรศักดิ์ เจริญศิริโชติ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม เป็นประธานพิธีอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ เพื่อให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวได้สรงน้ำสักการะ เนื่องในประเพณีวันสงกรานต์ ประจำปี 2567 ณ บริเวณวิหารหน้าพระร่วงโรจนฤทธิ์ องค์พระปฐมเจดีย์ โดยผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม ได้จุดธูปเทียนบูชาสักการะพระบรมสารีริกธาตุ จากนั้นได้อัญเชิญเวียนประทักษิณรอบองค์พระปฐมเจดีย์ พร้อมด้วย นายกเหล่ากาชาดจังหวัด รองผู้ว่าราชการจังหวัด หัวหน้าส่วนราชการ ข้าราชการ เจ้าหน้าที่จากหน่วยงานต่างๆ และประชาชนชาวจังหวัดนครปฐม เข้าร่วมพิธีเป็นจำนวนมาก

      จากนั้น ผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม ได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุไปประดิษฐานบริเวณลานหน้าพระร่วงโรจนฤทธิ์ องค์พระปฐมเจดีย์ และนำหัวหน้าส่วนราชการ ประชาชน ร่วมสรงน้ำสักการะพระบรมสารีริกธาตุ และพระร่วงโรจนฤทธิ์องค์จำลอง ซึ่งกิจกรรมดังกล่าว ทางวัดพระปฐมเจดีย์ราชวรมหาวิหาร ได้ดำเนินการจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี เพื่อให้ประชาชนได้สรงน้ำพระบรมสารีริกธาตุ เสริมความเป็นสิริมงคล ต้อนรับประเพณีวันสงกรานต์ ซึ่งถือเป็นวันขึ้นปีใหม่ของชาวไทยอีกด้วย


      สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดนครปฐม-ข่าว

      เหล่ากาชาดจังหวัดนครปฐม เลี้ยงอาหารผู้สูงอายุ เนื่องในวันผู้สูงอายุแห่งชาติ ประจำปี 2567



      เหล่ากาชาดจังหวัดนครปฐม จัดเลี้ยงอาหารผู้สูงอายุ เนื่องในวันผู้สูงอายุแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ 2567 เพื่อรณรงค์ให้ทุกภาคส่วนจัดกิจกรรมสร้างความตระหนักถึงคุณค่าความสำคัญของผู้สูงอายุและสถาบันครอบครัว

      นางวราภรณ์ เจริญศิริโชติ นายกเหล่ากาชาดจังหวัดนครปฐม

      วันที่ 5 เมษายน 2567 ที่สถานสงเคราะห์คนชราเฉลิมราชกุมารี (หลวงพ่อเปิ่นอุปถัมภ์) สังกัดสำนักปลัดฯ องค์การบริหารส่วนจังหวัดนครปฐม อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม นางวราภรณ์ เจริญศิริโชติ นายกเหล่ากาชาดจังหวัดนครปฐม พร้อมด้วย นางศุภวรรณ จันทร์ดิษฐวงษ์ นางศิริลักษณ์ พึ่งเนียม รองนายกเหล่ากาชาดจังหวัด คณะกรรมการและสมาชิกเหล่ากาชาดจังหวัด ร่วมเลี้ยงอาหารผู้สูงอายุ เนื่องในวันผู้สูงอายุแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ 2567 รวมทั้งจัดกิจกรรมรดน้ำขอพร พร้อมมอบของที่ระลึก สิ่งของเครื่องใช้จำเป็นให้กับผู้สูงอายุ จำนวน 50 คน

         นางสาวใกล้รุ่ง กองแก้ว หัวหน้าฝ่ายสวัสดิการสังคม เป็นผู้ดูแลสถานสงเคราะห์ฯ กล่าวว่า สถานสงเคราะห์คนชราเฉลิมราชกุมารี (หลวงพ่อเปิ่นอุปถัมภ์) เกิดขึ้นโดยพระราชดำริของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ซึ่งมีพระราชดำริกับพระอุดมประชานาถ (หลวงพ่อเปิ่น) เจ้าอาวาสวัดบางพระให้จัดสร้างสถานสงเคราะห์คนชราขึ้นที่อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม พระอุดมประชานาถ (หลวงพ่อเปิ่น)สภากาชาดไทย เหล่ากาชาดจังหวัดนครปฐม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ร่วมกันสนองพระราชดำริจัดสร้างสถานสงเคราะห์คนชราขึ้นที่ตำบลวัดสำโรง อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม บนเนื้อที่สาธารณะประโยชน์ จำนวน 24 ไร่ 3 งาน 97 ตารางวา และได้ประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์ในวันที่ 26 ธันวาคม 2539

      โดยได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระราชทานนามแก่สถานสงเคราะห์ฯ พร้อมเสด็จพระราชดำเนินทางเปิดสถานสงเคราะห์ฯ วันที่ 24 มกราคม 2542 โดยปัจจุบันสถานสงเคราะห์คนชราเฉลิมราช (หลวงพ่อเปิ่นอุปถัมภ์) เปิดดำเนินการมาเป็นระยะเวลา 22 ปี และอยู่ในการกำกับดูแลขององค์การบริหารส่วนจังหวัดนครปฐม ปัจจุบันมีผู้สูงอายุอยู่ในการดูแล ทั้งสิ้น จำนวน 50 คน (เป็นหญิงล้วน)

      สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดนครปฐม ภาพ/ข่าว

      ตำรวจภูธร จ.นครปฐม ปล่อยแถวระดมกวาดล้างอาชญากรรม ลดอุบัติเหตุทางถนน และส่งเสริมการท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2567

      ตำรวจภูธรจังหวัดนครปฐม บูรณาการหน่วยงานทุกภาคส่วน ร่วมปล่อยแถวระดมกวาดล้างอาชญากรรม ลดอุบัติเหตุทางถนน และส่งเสริมการท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2567

      พลตำรวจโท ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ

        เมื่อวันที่ 5 เมษายน 2567 ที่บริเวณลานจอดรถหน้าพระศิลาขาว องค์พระปฐมเจดีย์ อำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม พลตำรวจโท ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นประธานพิธีปล่อยแถวระดมกวาดล้างอาชญากรรม เนื่องในเทศกาลสงกรานต์ 2567 โดยมีผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 นายยงยุทธ สวนทอง รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 ผู้แทนฝ่ายทหาร หัวหน้าหน่วยงาน เข้าร่วมพิธี ด้วยในปีนี้รัฐบาลได้จัดงานมหาสงกรานต์ World Songkran Festival เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว โดยมีการจัดงานเทศกาลดังกล่าวทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 1 ถึง 21 เมษายน 2567ซึ่งในช่วงเทศกาลสงกรานต์นี้ มีวันหยุดต่อเนื่องหลายวัน คาดว่าจะมีประชาชนจำนวนมาก เดินทางกลับภูมิลำเนา หรือเดินทางไปท่องเที่ยวในสถานที่ต่างๆ อีกทั้งในหลายพื้นที่ได้มีการจัดงานรื้นเริง จัดงานวันสงกรานต์สรงน้ำพระตามประเพณี มีประชาชนไปร่วมงานเป็นจำนวนมาก อาจส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน

      สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงได้มอบหมายหน่วยปฏิบัติทั่วประเทศ ระดมกวาดล้างอาชญากรรม ในช้วงวันที่ 1 ถึง 10 เมษายน 2567 มีเป้าหมายจับกุมความผิดเกี่ยวกับการพนัน ยาเสพติด อาวุธปีนเครื่องกระสุนปีน และวัตถุระเบิด รวมทั้งบุคคลตามหมายจับและความผิดทางอาญาอื่นๆ โดยบูรณาการกำลังทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ประกอบด้วยกำลังพลในสังกัดตำรวจฎธรจังหวัดนครปฐม ตำรวจทางหลวงตำรวจท่องเที่ยว ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ตำรวจปราบปรามยาเสพติด เจ้าหน้าที่ทหาร ฝ่ายปกครอง และอาสาสมัคร ร่วมพิธีปล่อยแถวระดมกวาดล้างในครั้งนี้ รวมทั้งสิ้น 550 นาย


      สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดนครปฐม ภาพ/ข่าว

      เซ็นทรัลพัฒนา(ศาลายา) ส่งมอบทางลอดกลับรถ ด้วยงบ 112ล้านบาทให้กรมทางหลวง

      ซ็นทรัลพัฒนา (ศาลายา) ส่งมอบทางลอดกลับรถ ด้วยงบ 112 ล้านบาทให้กรมทางหลวง เป็นสาธารณประโยชน์

        เมื่อวันที่ 5 เมษายน 2567 นางสาววัลยา จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา และ นางสาวรุจิเรศ นีรปัทมะ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานรัฐกิจสัมพันธ์และสรรหาที่ดิน บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา ได้ทำพิธีส่งมอบทางลอดกลับรถให้เป็นสาธารณประโยชน์ โดยมี นายสราวุธ ทรงศิวิไล อธิบดีกรมทางหลวง นายศุภโชค มีอำพล ผู้อำนวยการสำนักงานทางหลวงที่ 13 กรุงเทพ ร่วมด้วยเจ้าหน้าที่ส่วนเกี่ยวข้อง และคณะผู้บริหารเซ็นทรัลพัฒนา


        บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) มุ่งมั่นยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนและชุมชน มอบเงินสนับสนุนกว่า 112 ล้านบาท ให้กับกรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม เพื่อดำเนินก่อสร้างทางลอดกลับรถบนถนนบรมราชชนนี (ทางหลวงหมายเลข 338) เพื่ออำนวยความสะดวกและความปลอดภัยให้แก่ประชาชน บรรเทาปัญหาการจราจรหนาแน่น และเพิ่มประสิทธิภาพในการรองรับปริมาณจราจรที่เพิ่มขึ้นในอนาคต

        ซึ่งโครงการ “ก่อสร้างทางลอดกลับรถเซ็นทรัล ศาลายา” ดำเนินการก่อสร้างโดย สำนักก่อสร้างสะพาน กรมทางหลวง มีวัตถุประสงค์เพื่อบรรเทาปัญหาการจราจรหนาแน่นและติดขัดในปัจจุบัน เริ่มดำเนินการก่อสร้างตั้งแต่ปี 2565 และแล้วเสร็จในปี 2566 ปัจจุบันได้เปิดใช้งานเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
      สำหรับ “ทางลอดกลับรถ ถนนบรมราชชนนี” แห่งนี้ ตั้งอยู่บนถนนบรมราชชนนี (ทางหลวงหมายเลข 338) ที่ กม.22+059 บริเวณปากทางถนนราษฎร์พัฒนา หรือซอยทรงคนอง 2 (ทางเข้าวัดดอนหวายและวัดไร่ขิง) พื้นที่ ต.ทรงคนอง อ.สามพราน จ.นครปฐม มีรูปแบบการก่อสร้างทางลอด (Underpass) ขนาด 2 ช่องจราจร (ไป-กลับ) แบ่งทิศทางการจราจรด้วยเกาะสีตีเส้น ช่องจราจรกว้าง 9.95 เมตร ระยะทาง 156 เมตร จำนวน 1 แห่ง และก่อสร้างสะพานคอนกรีตอัดแรง ความกว้างรวม 48 เมตร และความยาว 12 เมตร ตามแนวถนนบรมราชชนนี พร้อมงานติดตั้งไฟฟ้าแสงสว่างและอุปกรณ์อำนวยความปลอดภัย

        ปัจจุบันโครงการก่อสร้างทางลอดเซ็นทรัล ศาลายา แล้วเสร็จ ได้ทำการเปิดบริการให้แก่ประชาชนใช้ในการสัญจร เพื่อความสะดวกและรวดเร็ว ซึ่งทางลอดฯ แห่งนี้ตั้งอยู่ห่างจากศูนย์การค้าเซ็นทรัล ศาลายา ประมาณ 500 เมตร ช่วยให้ประชาชนสามารถใช้เป็นเส้นทางเข้า – ออก ในการเดินทางสัญจรได้สะดวกปลอดภัย ลดการเกิดอุบัติเหตุ ทำให้บริเวณโดยรอบมีความความคล่องตัวและสะดวกมากยิ่งขึ้น รวมทั้งเป็นทางเลือกในการกลับรถ สำหรับรถเล็กที่มีความสูงไม่เกิน 2.50 เมตร ประชาชนสามารถใช้ทางลอดกลับรถเดินทางเข้ากรุงเทพฯ หรือกลับรถไปสู่ จังหวัดนครปฐม และจังหวัดใกล้เคียง เป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตให้แก่ประชาชนและชุมชนอย่างยั่งยืน


        เซ็นทรัลพัฒนา ดำเนินธุรกิจภายใต้วิสัยทัศน์ Imagining better futures for all ในฐานะ ‘Place Maker’ นักพัฒนาพื้นที่แห่งอนาคต สร้างสรรค์สิ่งที่ดีเพื่ออนาคตที่ยั่งยืนสำหรับคนไทยและประเทศไทย โดยให้ความสำคัญกับการสร้างพื้นที่ที่มีคุณภาพ เพื่อส่งเสริมการใช้ชีวิตของพี่น้องประชาชนในทุกมิติ รวมทั้งสร้างสรรค์สิ่งที่ดีเพื่ออนาคตที่ยั่งยืนสำหรับคนไทยและประเทศไทย

      วิภาวี เกษรบุญนาค,สนง.ปชส.นครปฐม ภาพ /ข่าว

      เซ็นทรัลพัฒนา(ศาลายา) ส่งมอบทางลอดกลับรถ ด้วยงบ 112ล้านบาทให้กรมทางหลวง

      ซ็นทรัลพัฒนา (ศาลายา) ส่งมอบทางลอดกลับรถ ด้วยงบ 112 ล้านบาทให้กรมทางหลวง เป็นสาธารณประโยชน์

        เมื่อวันที่ 5 เมษายน 2567 นางสาววัลยา จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา และ นางสาวรุจิเรศ นีรปัทมะ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานรัฐกิจสัมพันธ์และสรรหาที่ดิน บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา ได้ทำพิธีส่งมอบทางลอดกลับรถให้เป็นสาธารณประโยชน์ โดยมี นายสราวุธ ทรงศิวิไล อธิบดีกรมทางหลวง นายศุภโชค มีอำพล ผู้อำนวยการสำนักงานทางหลวงที่ 13 กรุงเทพ ร่วมด้วยเจ้าหน้าที่ส่วนเกี่ยวข้อง และคณะผู้บริหารเซ็นทรัลพัฒนา


        บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) มุ่งมั่นยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนและชุมชน มอบเงินสนับสนุนกว่า 112 ล้านบาท ให้กับกรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม เพื่อดำเนินก่อสร้างทางลอดกลับรถบนถนนบรมราชชนนี (ทางหลวงหมายเลข 338) เพื่ออำนวยความสะดวกและความปลอดภัยให้แก่ประชาชน บรรเทาปัญหาการจราจรหนาแน่น และเพิ่มประสิทธิภาพในการรองรับปริมาณจราจรที่เพิ่มขึ้นในอนาคต

        ซึ่งโครงการ “ก่อสร้างทางลอดกลับรถเซ็นทรัล ศาลายา” ดำเนินการก่อสร้างโดย สำนักก่อสร้างสะพาน กรมทางหลวง มีวัตถุประสงค์เพื่อบรรเทาปัญหาการจราจรหนาแน่นและติดขัดในปัจจุบัน เริ่มดำเนินการก่อสร้างตั้งแต่ปี 2565 และแล้วเสร็จในปี 2566 ปัจจุบันได้เปิดใช้งานเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
      สำหรับ “ทางลอดกลับรถ ถนนบรมราชชนนี” แห่งนี้ ตั้งอยู่บนถนนบรมราชชนนี (ทางหลวงหมายเลข 338) ที่ กม.22+059 บริเวณปากทางถนนราษฎร์พัฒนา หรือซอยทรงคนอง 2 (ทางเข้าวัดดอนหวายและวัดไร่ขิง) พื้นที่ ต.ทรงคนอง อ.สามพราน จ.นครปฐม มีรูปแบบการก่อสร้างทางลอด (Underpass) ขนาด 2 ช่องจราจร (ไป-กลับ) แบ่งทิศทางการจราจรด้วยเกาะสีตีเส้น ช่องจราจรกว้าง 9.95 เมตร ระยะทาง 156 เมตร จำนวน 1 แห่ง และก่อสร้างสะพานคอนกรีตอัดแรง ความกว้างรวม 48 เมตร และความยาว 12 เมตร ตามแนวถนนบรมราชชนนี พร้อมงานติดตั้งไฟฟ้าแสงสว่างและอุปกรณ์อำนวยความปลอดภัย

        ปัจจุบันโครงการก่อสร้างทางลอดเซ็นทรัล ศาลายา แล้วเสร็จ ได้ทำการเปิดบริการให้แก่ประชาชนใช้ในการสัญจร เพื่อความสะดวกและรวดเร็ว ซึ่งทางลอดฯ แห่งนี้ตั้งอยู่ห่างจากศูนย์การค้าเซ็นทรัล ศาลายา ประมาณ 500 เมตร ช่วยให้ประชาชนสามารถใช้เป็นเส้นทางเข้า – ออก ในการเดินทางสัญจรได้สะดวกปลอดภัย ลดการเกิดอุบัติเหตุ ทำให้บริเวณโดยรอบมีความความคล่องตัวและสะดวกมากยิ่งขึ้น รวมทั้งเป็นทางเลือกในการกลับรถ สำหรับรถเล็กที่มีความสูงไม่เกิน 2.50 เมตร ประชาชนสามารถใช้ทางลอดกลับรถเดินทางเข้ากรุงเทพฯ หรือกลับรถไปสู่ จังหวัดนครปฐม และจังหวัดใกล้เคียง เป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตให้แก่ประชาชนและชุมชนอย่างยั่งยืน


        เซ็นทรัลพัฒนา ดำเนินธุรกิจภายใต้วิสัยทัศน์ Imagining better futures for all ในฐานะ ‘Place Maker’ นักพัฒนาพื้นที่แห่งอนาคต สร้างสรรค์สิ่งที่ดีเพื่ออนาคตที่ยั่งยืนสำหรับคนไทยและประเทศไทย โดยให้ความสำคัญกับการสร้างพื้นที่ที่มีคุณภาพ เพื่อส่งเสริมการใช้ชีวิตของพี่น้องประชาชนในทุกมิติ รวมทั้งสร้างสรรค์สิ่งที่ดีเพื่ออนาคตที่ยั่งยืนสำหรับคนไทยและประเทศไทย

      วิภาวี เกษรบุญนาค /ข่าว

      เทศบาลฯ สามควายเผือก ตรวจวัดสายตา และแก้ไขการมองเห็นในกลุ่มผู้สูงอายุ

      เทศบาลเมืองสามควายเผือก คัดกรองความผิดปกติสายตาและแก้ไขการมองเห็นในกลุ่มผู้สูงอายุ

      ที่เทศบาลเมืองสามควายเผือก ต.สามควายเผือก อ.เมือง จ.นครปฐม นายสุเทพ เถลิงศักดาเดช นายกเทศมนตรีเมืองสามควายเผือก พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร ปลัดเทศบาล และเจ้าหน้าที่เทศบาล จัดกิจกรรมโครงการคัดกรองความผิดปกติสายตาและแก้ไขการมองเห็นไม่ชัดในกลุ่มผู้สูงอายุ ประจำปีงบประมาณ 2567 โดยมีผู้สูงอายุเข้าร่วมโครงการประมาณ 300 คน

      นายสุเทพ เถลิงศักดาเดช นายกเทศมนตรีเมืองสามควายเผือก เปิดเผยว่า  การจัดโครงการตรวจคัดกรองความผิดปกติสายตาและแก้ไขปัญหาการมองเห็นไม่ชัดในกลุ่มผู้สูงอายุ จัดโดยกองทุนหลักประกันสุขภาพเทศบาลเมืองสามควายเผือก เพื่อให้สอดคล้องกับแผนสุขภาพชุมชนของ อปท.ปัญหาสุขภาพผู้สูงอายุ สามารถเข้าถึงบริการสาธารณสุขได้อย่างทั่วถึง และมีความรู้เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพดวงตา

      โดยประสานงานกับหน่วยบริการหรือสถานบริการทั้งภาครัฐและภาคเอกชนที่สามารถดำเนินการตรวจคัดกรองสายตา อีกทั้งยังจัดทำทะเบียนแยกประเภทผู้สูงอายุ กรณีพบผู้สูงอายุสายตายาวแต่ไม่พบความผิดปกติของโรคทางตาจะได้รับแว่น กรณีพบผู้สูงอายุที่มีความผิดปกติจัดทำทะเบียนเพื่อดำเนินการแนะนำให้เข้ารับการรักษาตามสิทธิต่อไป

      วีรวิชญ์ โรจนอัครพงศ์ ภาพ-ข่าว

      เทศบาลฯ สามควายเผือก ตรวจวัดสายตา และแก้ไขการมองเห็นในกลุ่มผู้สูงอายุ

      เทศบาลเมืองสามควายเผือก คัดกรองความผิดปกติสายตาและแก้ไขการมองเห็นในกลุ่มผู้สูงอายุ

      ที่เทศบาลเมืองสามควายเผือก ต.สามควายเผือก อ.เมือง จ.นครปฐม นายสุเทพ เถลิงศักดาเดช นายกเทศมนตรีเมืองสามควายเผือก พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร ปลัดเทศบาล และเจ้าหน้าที่เทศบาล จัดกิจกรรมโครงการคัดกรองความผิดปกติสายตาและแก้ไขการมองเห็นไม่ชัดในกลุ่มผู้สูงอายุ ประจำปีงบประมาณ 2567 โดยมีผู้สูงอายุเข้าร่วมโครงการประมาณ 300 คน

      นายสุเทพ เถลิงศักดาเดช นายกเทศมนตรีเมืองสามควายเผือก เปิดเผยว่า  การจัดโครงการตรวจคัดกรองความผิดปกติสายตาและแก้ไขปัญหาการมองเห็นไม่ชัดในกลุ่มผู้สูงอายุ จัดโดยกองทุนหลักประกันสุขภาพเทศบาลเมืองสามควายเผือก เพื่อให้สอดคล้องกับแผนสุขภาพชุมชนของ อปท.ปัญหาสุขภาพผู้สูงอายุ สามารถเข้าถึงบริการสาธารณสุขได้อย่างทั่วถึง และมีความรู้เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพดวงตา

      โดยประสานงานกับหน่วยบริการหรือสถานบริการทั้งภาครัฐและภาคเอกชนที่สามารถดำเนินการตรวจคัดกรองสายตา อีกทั้งยังจัดทำทะเบียนแยกประเภทผู้สูงอายุ กรณีพบผู้สูงอายุสายตายาวแต่ไม่พบความผิดปกติของโรคทางตาจะได้รับแว่น กรณีพบผู้สูงอายุที่มีความผิดปกติจัดทำทะเบียนเพื่อดำเนินการแนะนำให้เข้ารับการรักษาตามสิทธิต่อไป

      วีรวิชญ์ โรจนอัครพงศ์ ภาพ-ข่าว

      มทร.จัดนิทรรศการ เลอ-วิลาส (Le Vilas By Poh-Chang Academy of Arts, RMUTR) “เสน่ห์ความงามที่ปลุกเร้าให้หลงใหล”

      มทร.รัตนโกสินทร์ วิทยาลัยเพาะช่าง จัดนิทรรศการ เลอ-วิลาส (Le Vilas By Poh-Chang Academy of Arts, RMUTR) “เสน่ห์ความงามที่ปลุกเร้าให้หลงใหล”

      ในวันพุธที่ 3 เมษายน 2567 มทร.รัตนโกสินทร์ นำโดย รศ.ดร.อุดมวิทย์ ไชยสกุลเกียรติ อธิการบดี ร่วมพิธีเปิด และกล่าวรายงานวัตถุประสงค์การจัดนิทรรศการ เลอ-วิลาส (Le Vilas By Poh-Chang Academy of Arts, RMUTR) “เสน่ห์ความงามที่ปลุกเร้าให้หลงใหล” จัดขึ้นโดย มทร.รัตนโกสินทร์ วิทยาลัยเพาะช่าง ร่วมกับมูลนิธิเอสซีจี

      ซึ่งได้รับเกียรติจาก แพทย์หญิงเพชรดาว โต๊ะมีนา ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เป็นประธานในพิธีเปิด และร่วมรับชม การแสดงโขน โดยนักศึกษาวิทยาลัยเพาะช่าง ซึ่งการจัดนิทรรศการในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการทำนุบำรุงศิลปะการแสดงชั้นสูงของไทย “โขน” ที่แสดงออกถึงศิลปวัฒนธรรมอันทรงคุณค่า และมีประวัติความเป็นมายาวนานนับร้อยปี ช่างส่วนใหญ่จะได้รับการฝึกฝน และถ่ายทอดมาจากสกุลช่างในแต่ละสกุลสืบต่อมา จวบจนปัจจุบัน

      อีกทั้งเป็นการมุ่งเน้นสร้างเสริมในเรื่องของ creative economy ตามนโยบายหลักของมหาวิทยาลัยอีกด้วย ทั้งนี้ ภายในงานได้รวบรวมผลงานหัตถศิลป์ ทั้งศิษย์เก่า ศิษย์ปัจจุบัน คณาจารย์ และครูศิลป์แห่งแผ่นดิน มาจัดแสดงและเผยแพร่ผลงานหัวโขนผ่านนิทรรศการ อันสุดวิจิตรบรรจง อีกทั้งกิจกรรม workshop มากมาย ไม่มีค่าใช้จ่าย จากวิทยาลัยเพาะช่าง ณ ห้อง New Gen Space : Space for All Generation ชั้น 3 หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร (BACC) ระหว่างวันที่ 2 – 28 เมษายน 2567 เวลา 10.00-20.00 น. (หยุดทุกวันจันทร์)

      วิภาวี เกษรบุญนาค ภาพ /ข่าว

      ไฟฟ้าร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ จับผู้ขโมยไฟฟ้าใช้ในพื้นที่จังหวัดนครปฐม

      PEA ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจพบละเมิดการใช้ไฟฟ้าในพื้นที่จังหวัดนครปฐม


      นายพิเชฐ อรุณมาศ ผู้จัดการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจังหวัดนครปฐม พร้อมด้วย นายพิชิต อุดมรักษาทรัพย์ ผู้จัดการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคสาขาเมืองนครปฐม ร่วมกับ พ.ต.อ.ภูภณ ทัพเจริญ ผกก.สภ.เมืองนครปฐม นำกำลังเจ้าหน้าที่ สภ.เมืองนครปฐม และส่วนเกี่ยวข้องร่วมกันนำหมายค้นของศาลจังหวัดนครปฐม

         เข้าตรวจค้นอาคารพาณิชย์ เลขที่ 1/108 ถ.พระงาม 4 อ.เมืองนครปฐม จ.นครปฐม พบการละเมิดการใช้ไฟฟ้า ขณะตรวจค้นวัดค่าใช้งานรวมได้ 36kW โดยภายในอาคารพบชุด คอมพิวเตอร์ ขุดบิทคอย จำนวนกว่า 80 เครื่องพร้อมอุปกรณ์ประกอบหลายรายการ มูลค่าของกลางและความเสียหายในการลักลอบใช้ไฟฟ้า ทั้งสิ้นกว่า 20 ล้านบาท พร้อมทั้งนำผู้ครอบครองสถานที่ไปยัง สภ.เพื่อทำการสอบสวนและยายผลเพื่อดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องต่อไป

        การลักลอบใช้ไฟฟ้านั้น PEA สามารถตรวจพบได้จากฐานข้อมูลการใช้ไฟฟ้าของ PEA การละเมิดการใช้ไฟฟ้านอกจากจะเป็นการกระทำผิดตามกฎหมายในคดีแพ่งและอาญาแล้ว ยังเป็นการติดตั้งระบบไฟฟ้าที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐาน อาจก่อให้เกิดไฟฟ้าลัดวงจร รวมถึงเกิดเพลิงไหม้ เป็นอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินได้

      สำหรับประชาชนผู้เป็นเจ้าของอาคารปล่อยเช่า ควรตรวจสอบผู้เช่าว่ามีการใช้งานอาคารในลักษณะผิดกฎหมายหรือไม่ ซึ่งหากผู้ใดพบเห็นการละเมิดการใช้ไฟฟ้าที่ผิดกฎหมาย สามารถแจ้งเบาะแสได้ที่ 1129 PEA Contact Center หรือ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคในพื้นที่

      ข่าว/ภาพ : การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจังหวัดนครปฐม

      แอบลักลอบนำน้ำเสียจากโรงงานอุตสาหกรรม จ.สมุทรสาคร มาทิ้ง จ.นครปฐม

      แอบลักลอบนำน้ำเสียจากโรงงานอุตสาหกรรม จ.สมุทรสาคร มาทิ้ง จ.นครปฐม

           เมื่อเวลา  20.00น. วันที่ 1 เม.ย.67 ที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ตำราจชุดจับกุม พ.ต.ท.สัญญา ทุ่มโพธิ์ทอง ต้นปืน(สบ.7)/หน.ชุดปฏิบัติการสืบสวนหาข่าวที่ 6 กรต.บก.รน., ร.ต.อ.ณรงค์ศักดิ์ ภูตะลา รอง สว.(ทนท.ทางน้ำ) ส.รน.4กก.4  บก.รน. , จ.ส.ต.พงศกร โครตเจริญ, ส.ต.อ.จรัญ รักธรรม ส.ต.ท.สุรกฤษฎิ์ ช่วยสงค์ ส.ต.ท.อับบาสข่าน มูลา ส.ต.ท.ปกรณ์ เครือแก้ว ผบ.หมู่ ฯ

        ได้ร่วมจับกุมตัว นายชุมพร คล่องถนอมสัตย์ อายุ 46 ปี เลขที่ 109/41หมู่ 8 ต.ลำโพ อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี พร้อมด้วยของกลางรถบรรทุก 6ล้อ ยี่ห้อ อีซูซุ สีขาว หมายเลขทะเบียน 70-2108 สิงห์บุรี ใช้ในการบรรจุสิ่งปฏิกูลน้ำเสีย จากโรงงานอุตสาหกรรม จำนวน 3000 ลิตร เลี้ยวเข้าไปจอดบริเวณถนนส่วนบุคคล นฐ.3004 หมู่ที่ 10 ต.นกกระทุง อ.บางเลน จ.นครปฐม กำลังปล่อยน้ำภายในถังขนส่ง ซึ่งมีกลิ่นเหม็น สีเหลืองขุ่น จึงแสดงตัวเข้าจับกุมตัว พร้อมประสาน นายมานพ ศรีสุข นายกอบต.คลองนกกระทุง  นายขจรเกียรติ นิพัฒน์โภคัย นายกเทศมนตรีตำบลลำพญา และตำแหน่งกรรมการลุ่มน้ำท่าจีน

      นำตัวส่ง พ.ต.ต.ปรัชญา บูรณัติ สว.(สอบสวน) สภ.บางเลน  อัตราโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปีปรับไม่เกิน 100,000 บาท ใช้เงินสดประกันตัว 20,000 บาท

      โดยตั้งข้อหา ว่าเป็นผู้ควบคุมหรือรับจ้างให้บริการบำบัดน้ำเสียหรือกำจัดของเสีย ไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่น อันเป็นความผิดตามมาตรา73,105 แห่ง พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ.2535 เป็นผู้ขับขี่เทหรือทิ้งสิ่งปฏิกูล มูลฝอย น้ำโสโครกหรือสิ่งอื่นใดลงบนถนนหรือในทางน้ำ อันเป็นความผิด
      ตามมาตรา 33 แห่ง พ.ร.บ.รักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง พ.ศ.2535

      ด้านนายชุมพร ให้การรับสารภาพ พร้อมกล่าวว่า รับจ้างให้มาสูบน้ำ จากโรงงานในพื้นที่ จ.สมุทรสาคร ก่อนนี้มีอีกเจ้าหนึ่งรับจ้างบรรทุก แล้วเค้าติดต่องานมาให้ผม ได้รับค่าจ้างเที่ยวละ 4,000 บาท โดยถังบรรจุได้ 3,000 ลิตร ส่วนเงิน 4,000 บาท โอนจ่ายในวันถัดไปหลังจากที่นำน้ำเสียไปทิ้งมาอาทิตย์ละ 1 ครั้ง  วันนี้เพิ่งเข้ามาขนน้ำครั้งแรกทางโรงงานบอกว่าปั๊มที่ดูดซับไปบ่อบำบัดเสีย จึงต้องใช้รถบรรทุกสูบออกมาทิ้งนอกพื้นที่

        คนติดต่อบอกว่า เป็นน้ำมะม่วงสุข ที่ไปรับมาเป็นที่ทำมะม่วงกวน ผมทราบเท่านี้ ไม่มีเอกสารอะไรมาด้วย ส่วนสาเหตุที่นำมาถึงจุดนี้ รถอีกคันยางแตกจึงต้องหาที่ทิ้งและนำไปถ่ายน้ำอีกคันจนกระทั่งถูกจับกุมตัวดังกล่าว

      จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้เก็บตัวอย่างจำนวน 3 ลิตรเพื่อส่งอุตสาหกรรมจังหวัดนครปฐมตรวจสอบน้ำดังกล่าวว่ามีสารพิษ หรือตกค้างอะไรบ้าง

        ภาพ-ข่าว วีรวิชญ์ โรจนอัครพงศ์

      สำนักการสอบสวนและนิติการฯ  จัดจัดโครงการฝึกอบรมพัฒนาศักยภาพด้านการปราบยาเสพติดและการรักษาความสงบ.

        สำนักการสอบสวนและนิติการ กรมการปกครอง จัดทำโครงการฝึกอบรมพัฒนาศักยภาพด้านการปราบปรามยาเสพติดและการรักษาความสงบเรียบร้อย (Professional Development Program in Drug Suppression and Public Order Maintenance)

        เพื่อฝึกอบรมให้กับข้าราชการและสมาชิก อส. ที่ได้รับการคัดเลือกจากกองบัญชาการกองอาสารักษาดินแดน (ส่วนกลาง) และสำนัก/กองในกรมการปกครอง จำนวน 67 ราย ฝึกอบรมระหว่างวันที่ 30 มี.ค. – 5 เม.ย. 2567 ณ โรงเรียนสืบสวนสอบสวนพนักงานฝ่ายปกครอง วิทยาลัยการปกครอง อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี

      โดยในวันเสาร์ที่ 30 มี.ค. 2567 เวลา 13.00 - 18.00 น. คณะวิทยากรจากสำนักการสอบสวนและนิติการ (ส่วนการสอบสวนคดีอาญา) อาทิ ดร.รัฐวิช จิตสุจริตวงศ์ นายอำเภอนาคู รักษาการในตำแหน่ง ผอ.ส่วนการสอบสวนคดีอาญา นางสาวอภิราภา เหลืองวิลัย หัวหน้ากลุ่มงานกฎหมายกระบวนการยุติธรรมทางอาญา (นิติกรชำนาญการพิเศษ) และนายภควี นาคจู หัวหน้ากลุ่มงานสืบสวนสอบสวนคดีอาญา1 (เจ้าพนักงานปกครองชำนาญการ) พร้อมด้วยนายหมวดเอกวุฒิไกร สีสันต์ ผู้บังคับกองร้อยกองอาสารักษาดินแดนจังหวัดอุบลราชธานีที่ 1 ได้นำระดมสมองในหัวข้อ "อำนาจหน้าที่ของพนักงานฝ่ายปกครอง"

         และวันอาทิตย์ที่ 31 มี.ค. 2567 เวลา 05.30 น. - 23.00 น. คณะวิทยากรจากสำนักการสอบสวนและนิติการ (ส่วนการสอบสวนคดีอาญา) อาทิ ดร.รัฐวิช จิตสุจริตวงศ์ นายอำเภอนาคู รักษาการในตำแหน่ง ผอ.ส่วนการสอบสวนคดีอาญา นางสาวอภิราภา เหลืองวิลัย หัวหน้ากลุ่มงานกฎหมายกระบวนการยุติธรรมทางอาญา (นิติกรชำนาญการพิเศษ) และนายภควี นาคจู หัวหน้ากลุ่มงานสืบสวนสอบสวนคดีอาญา1 (เจ้าพนักงานปกครองชำนาญการ) พร้อมด้วยนายหมวดเอกวุฒิไกร สีสันต์ ผู้บังคับกองร้อยกองอาสารักษาดินแดนจังหวัดอุบลราชธานีที่ 1 ได้บรรยายภาคทฤษฎีและฝึกปฏิบัติ ดังนี้

        ภาคเช้า. (เริ่มตั้งแต่เวลา 05.30 น.)  ฝึกกายบริหาร (Physical Training) บรรยายหลักกฎหมายยาเสพติด บรรยายหลักกฎหมายป้องกันและปราบปรามการทรมานฯ ภาคบ่าย.ฝึกภาคปฏิบัติการใช้กล้องติดตัว Body Camera ฝึกภาคปฏิบัติขั้นตอนการสืบสวนปราบปรามการกระทำความผิด ภาคกลางคืน. ฝึกภาคปฏิบัติการสืบสวนหาข่าวและฝึกปฏิบัติการในสถานการณ์จริง

      สำนักการสอบสวนและนิติการฯ  จัดจัดโครงการฝึกอบรมพัฒนาศักยภาพด้านการปราบยาเสพติดและการรักษาความสงบ.

        สำนักการสอบสวนและนิติการ กรมการปกครอง จัดทำโครงการฝึกอบรมพัฒนาศักยภาพด้านการปราบปรามยาเสพติดและการรักษาความสงบเรียบร้อย (Professional Development Program in Drug Suppression and Public Order Maintenance)

        เพื่อฝึกอบรมให้กับข้าราชการและสมาชิก อส. ที่ได้รับการคัดเลือกจากกองบัญชาการกองอาสารักษาดินแดน (ส่วนกลาง) และสำนัก/กองในกรมการปกครอง จำนวน 67 ราย ฝึกอบรมระหว่างวันที่ 30 มี.ค. – 5 เม.ย. 2567 ณ โรงเรียนสืบสวนสอบสวนพนักงานฝ่ายปกครอง วิทยาลัยการปกครอง อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี

      โดยในวันเสาร์ที่ 30 มี.ค. 2567 เวลา 13.00 - 18.00 น. คณะวิทยากรจากสำนักการสอบสวนและนิติการ (ส่วนการสอบสวนคดีอาญา) อาทิ ดร.รัฐวิช จิตสุจริตวงศ์ นายอำเภอนาคู รักษาการในตำแหน่ง ผอ.ส่วนการสอบสวนคดีอาญา นางสาวอภิราภา เหลืองวิลัย หัวหน้ากลุ่มงานกฎหมายกระบวนการยุติธรรมทางอาญา (นิติกรชำนาญการพิเศษ) และนายภควี นาคจู หัวหน้ากลุ่มงานสืบสวนสอบสวนคดีอาญา1 (เจ้าพนักงานปกครองชำนาญการ) พร้อมด้วยนายหมวดเอกวุฒิไกร สีสันต์ ผู้บังคับกองร้อยกองอาสารักษาดินแดนจังหวัดอุบลราชธานีที่ 1 ได้นำระดมสมองในหัวข้อ "อำนาจหน้าที่ของพนักงานฝ่ายปกครอง"

         และวันอาทิตย์ที่ 31 มี.ค. 2567 เวลา 05.30 น. - 23.00 น. คณะวิทยากรจากสำนักการสอบสวนและนิติการ (ส่วนการสอบสวนคดีอาญา) อาทิ ดร.รัฐวิช จิตสุจริตวงศ์ นายอำเภอนาคู รักษาการในตำแหน่ง ผอ.ส่วนการสอบสวนคดีอาญา นางสาวอภิราภา เหลืองวิลัย หัวหน้ากลุ่มงานกฎหมายกระบวนการยุติธรรมทางอาญา (นิติกรชำนาญการพิเศษ) และนายภควี นาคจู หัวหน้ากลุ่มงานสืบสวนสอบสวนคดีอาญา1 (เจ้าพนักงานปกครองชำนาญการ) พร้อมด้วยนายหมวดเอกวุฒิไกร สีสันต์ ผู้บังคับกองร้อยกองอาสารักษาดินแดนจังหวัดอุบลราชธานีที่ 1 ได้บรรยายภาคทฤษฎีและฝึกปฏิบัติ ดังนี้

        ภาคเช้า (เริ่มตั้งแต่เวลา 05.30 น.) (1) ฝึกกายบริหาร (Physical Training) (2) บรรยายหลักกฎหมายยาเสพติด (3) บรรยายหลักกฎหมายป้องกันและปราบปรามการทรมานฯ ภาคบ่าย (4) ฝึกภาคปฏิบัติการใช้กล้องติดตัว Body Camera (5) ฝึกภาคปฏิบัติขั้นตอนการสืบสวนปราบปรามการกระทำความผิด ภาคกลางคืน (เลิกเวลา 23.00 น.) (6) ฝึกภาคปฏิบัติการสืบสวนหาข่าวและฝึกปฏิบัติการในสถานการณ์จริง

      รมต.พม.เปิดงานปั่นประวัติศาสตร์ “เมืองเจดีย์ใหญ่มอเตอร์เวย์”

      รมต.พม.เปิดงานปั่นประวัติศาสตร์ “เมืองเจดีย์ใหญ่มอเตอร์เวย์” รวมนักปั่นกว่า3,000คน

      นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์

      เมื่อเวลา 07.15 น.ที่ 31 มีนาคม ที่ด่านเก็บเงินฝั่งตะวันตก ทางหลวงหมายเลข 321 จังหวัดนครปฐม นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นประธานปล่อยนักกีฬา การแข่งขันจักรยาน “เมืองเจดีย์ใหญ่ มอเตอร์เวย์ครั้งที่ 1” บนทางหลวงพิเศษสาย อ.บางใหญ่-กาญจนบุรี (สายM81) ช่วงด่านเก็บเงินฝั่งตะวันตก ทางหลวงหมายเลข 321(มาลัยแมน) นครปฐม ถึงด่านเก็บเงินทางหลวงหมายเลข 324 อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี ไปกลับรวมระยะทาง 100 กม.

      นายจิรวัฒน์ สะสมทรัพย์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครปฐม


      โดยมี นายจิรวัฒน์ สะสมทรัพย์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครปฐม กล่าวรายงานว่าในนามของคณะกรรมการจัดงาน สมาคมจักรยานจังหวัดนครปฐมร่วมกับ สมาคมกีฬาจักรยานปทุมธานี และนักปั่นจักรยาน ที่มาร่วมกันปั่นจักรยาน ทั้ง 3 รายการ(สาย เอ 100 กิโลเมตร สายบี 50 กิโลเมตร และ วีไอพี 24 กิโลเมตร )รวมกว่า 3,000 คัน/คน มาร่วม

      กิจกรรมปั่นจักรยาน ตามโครงการ “เมืองเจดีย์ใหญ่ มอเตอร์เวย์ครั้งที่ 1”
      ในวันนี้ ซึ่งโครงการ “เมืองเจดีย์ใหญ่ มอเตอร์เวย์ครั้งที่ 1” เพื่อหวังว่า
      กิจกรรมนี้จะช่วยเสริมสร้างสุขภาพพลานามัยที่แข็งแรงให้กับนักกีฬา และ
      ยังช่วยประชาสัมพันธ์ สถานที่ท่องเที่ยว ในจังหวัดนครปฐม ให้เป็นที่รู้จักกันมากยิ่งขึ้น

      นายสหพันธ์ ปฐมวัฒนานุรักษ์ นายกสมาคมจักรยานนครปฐม กล่าวว่า รู้สึกดีใจมากที่สามารถสร้างประวัติศาสตร์วงการจักรยาน ปั่นบนมอเตอร์เวย์ และมีสมาชิกมาร่วมกว่า 3,000 คน และขอบคุณนักปั่นทุกคนที่มาร่วม ขอให้ทุกคนมีพลานามัยที่แข็งแรง ตามวัตถุประสงค์

      ลักษณะเส้นทางบนทางหลวงพิเศษสาย อ.บางใหญ่-กาญจนบุรี (สายM 81)ช่วงด่านเก็บเงินฝั่งตะวันตก ทางหลวงหมายเลข 321(มาลัยแมน) นครปฐม ถึงด่านเก็บเงินทางหลวงหมายเลข 324 อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี ไปกลับรวมระยะทาง 100 กม.เป็นเส้นทางที่สวยมากบรรยากาศดี มีลมบางช่วงที่เป็นอุปสรรคต่อนักปั่น ไร้ปัญหาการรบกวนเรื่องจากเป็นสนามปิด ใช้มอเตอร์เวย์ M 81 ที่ยังไม่เปิดทำการสร้างประวัติศาสตร์ให้แก่นักปั่น

      ด้านนายสมชาย หนึ่งในนักปั่น กล่าวว่า มาจากนนท
      บุรี มากันหลายคัน บางคนมาพัก บางคนมาช่วงดึก มาร่วมสร้างประวัติศาสตร์ให้กับนครปฐม และตนเอง เพราะว่าการได้ปั่นบนมอเตอร์เวย์ไม่ใช่เรื่องง่าย และเมื่อนครปฐมจัด ก็รีบจอง และมาร่วมที่สำคัญปลอดภัย

      ขอขอบคุณ ภาพ-ข่าว ทวีพล หลิมชัยสุวรรณ

      เปิดยิ่งใหญ่! ‘เซ็นทรัล นครปฐม’  แลนด์มาร์กแห่งใหม่นครปฐม

      เปิดแล้วยิ่งใหญ่! ‘เซ็นทรัล นครปฐม’  แลนด์มาร์ก
      แห่งใหม่นครปฐม ถนนทุกสายมุ่งสู่ห้าง ทามกลางการจราจรหนาแน่น และอากาศร้อน


      ็ นครปฐม – บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ผู้นำอสังหาริมทรัพย์ ของไทย สร้างปรากฏการณ์
      ครั้งยิ่งใหญ่ เปิด “เซ็นทรัล นครปฐม” โครงการมิกซ์ยูสแลนด์มาร์กใหม่ใจกลางนครปฐม ที่พร้อมเป็นศูนย์กลางการใช้ชีวิตแห่งใหม่ที่ยกระดับและเชื่อมต่อไลฟ์สไตล์ชาวนครปฐมและพื้นที่ใกล้เคียง ภายใต้แนวคิด “ปฐมบทใหม่ของความสุข” บนพื้นที่กว่า 100 ไร่ พื้นที่อาคารรวม
      (GBA)133,000 ตารางเมตร ครบครันด้วย ศูนย์การค้า, โรงแรม, คอนโดมิเนียม Escent, บ้านเดี่ยว Baan
      Nirati, Urban Park 4 ไร่ ตอบโจทย์ทุกเจเนอเรชั่น โดยเป็นศูนย์การค้าลำดับที่ 42 ของเซ็นทรัลพัฒนา
      ภายใต้วิสัยทัศน์เดินหน้าแผนพัฒนาโครงการ สร้างย่าน สร้างเมืองหลัก-เมืองรอง ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และการท่องเที่ยวทั่วประเทศ

        นางสาววัลยา จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานคณะเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา กล่าวว่า “ในฐานะ Place Maker เรามุ่งมั่นที่จะเติมเต็มศักยภาพของเมืองไปอีกขั้น
         โดย “เซ็นทรัล นครปฐม” จะเป็นแลนด์มาร์ก “ปฐมบทใหม่ของความสุข” เป็นศูนย์กลางการใช้ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและครบครันที่สุด พร้อมทั้งเชื่อมไปสู่ภาคตะวันตกของประเทศ เราตั้งใจสร้างสรรค์ให้ เซ็นทรัล นครปฐม เป็นมิกซ์ยูสขนาดใหญ่ที่เติมเต็มการใช้ชีวิตของทุกคนได้อย่างเต็มรูปแบบ

        เพื่อช่วยผลักดันเศรษฐกิจและยกระดับคุณภาพการใช้ชีวิตของผู้คน เสริมศักยภาพจังหวัด ในฐานะศูนย์กลางเศรษฐกิจที่เชื่อมโยงภาคกลางและภาคตะวันตก รองรับเมกะโปรเจ็คของภาครัฐในอนาคต ร่วมมือกับผู้ประกอบการท้องถิ่น ส่วนราชการ ร่วมกันผลักดันเศรษฐกิจ และการท่องเที่ยว ช่วยสร้างงานและกระจายรายได้ในจังหวัด พร้อมสร้างสรรค์ให้โครงการเซ็นทรัล นครปฐม เป็นพื้นที่บอกเล่า “ปฐมบท” แห่งวัฒนธรรม และศิลปะอันงดงามและยาวนาน เชิดชูอัตลักษณ์อันทรงคุณค่าของเมือง ซึ่งจะช่วยสร้างเสน่ห์ด้านการท่องเที่ยวครบทุกมิติ ทั้งสนับสนุนเทศกาลงานเมือง และเปิดพื้นที่ส่งเสริมผลิตภัณฑ์ด้านเกษตร สร้างความเติบโตของชุมชนไปด้วยกันอย่างยั่งยืน”

      ขอบคุณภาพ-ข่าว Pr.เซ็นทรัล

      มทร.รัตนโกสินทร์ ศาลายา เลี้ยงขอบคุณสื่อมวลชน

      มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ วิทยาเขตศาลายา จัดเลี้ยงขอบคุณสื่อมวลชน

      ในวันพฤหัสบดีที่ 21 มีนาคม 2567 มทร.รัตนโกสินทร์ วิทยาเขตศาลายา  โดย รศ.ดร.อุดมวิทย์ ไชยสกุลเกียรติ อธิการบดี มอบหมายให้ รศ.ดร.อาคีรา ราชเวียง รองอธิการบดี กล่าวต้อนรับ และเปิดโครงการขอบคุณสื่อมวลชน มทร.รัตนโกสินทร์ 2567

        โดยจัดขึ้นเพื่อเป็นการขอบคุณสื่อมวลชนที่ให้การสนับสนุนข่าวสารของทางมหาวิทยาลัย ให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายอันเป็นการประชาสัมพันธ์เชิงรุก และเป็นการประชาสัมพันธ์มหาวิทยาลัย ให้เป็นที่รู้จักแก่นักศึกษาและบุคคลทั่วไปให้เข้าใจถึงบทบาทต่าง ๆ อย่างทั่วถึง ก่อให้เกิดภาพลักษณ์ และความเชื่อมั่นอันดี ต่อมหาวิทยาลัย

        สำหรับในช่วงบ่ายได้พาสื่อมวลชนเข้าศึกษาดูงานด้านการประชาสัมพันธ์ และด้านการบริการวิชาการ ณ มทร.รัตนโกสินทร์ วิทยาลัยเพาะช่าง โดยมี ผศ.สุรัฐ บุญทรง ผู้อำนวยการวิทยาลัยเพาะช่าง ให้การต้อนรับ

      มทร.รัตนโกสินทร์ ศาลายา เลี้ยงขอบคุณสื่อมวลชน

      มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ วิทยาเขตศาลายา จัดเลี้ยงขอบคุณสื่อมวลชน

      ในวันพฤหัสบดีที่ 21 มีนาคม 2567 มทร.รัตนโกสินทร์ วิทยาเขตศาลายา  โดย รศ.ดร.อุดมวิทย์ ไชยสกุลเกียรติ อธิการบดี มอบหมายให้ รศ.ดร.อาคีรา ราชเวียง รองอธิการบดี กล่าวต้อนรับ และเปิดโครงการขอบคุณสื่อมวลชน มทร.รัตนโกสินทร์ 2567

        โดยจัดขึ้นเพื่อเป็นการขอบคุณสื่อมวลชนที่ให้การสนับสนุนข่าวสารของทางมหาวิทยาลัย ให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายอันเป็นการประชาสัมพันธ์เชิงรุก และเป็นการประชาสัมพันธ์มหาวิทยาลัย ให้เป็นที่รู้จักแก่นักศึกษาและบุคคลทั่วไปให้เข้าใจถึงบทบาทต่าง ๆ อย่างทั่วถึง ก่อให้เกิดภาพลักษณ์ และความเชื่อมั่นอันดี ต่อมหาวิทยาลัย

        สำหรับในช่วงบ่ายได้พาสื่อมวลชนเข้าศึกษาดูงานด้านการประชาสัมพันธ์ และด้านการบริการวิชาการ ณ มทร.รัตนโกสินทร์ วิทยาลัยเพาะช่าง โดยมี ผศ.สุรัฐ บุญทรง ผู้อำนวยการวิทยาลัยเพาะช่าง ให้การต้อนรับ

      นายก อบจ.นครปฐม เปิดงาน”นมัสการองค์พระประโทนเจดีย์ฯ “โบราณสถานสถานเก่าแก่นับพันปี

      นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครปฐม เป็นประธานเปิดงาน”นมัสการองค์พระประโทนเจดีย์ฯ “โบราณสถานสถานเก่าแก่นับพันปี

      นายจิรวัฒน์ สะสมทรัพย์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครปฐม

      วันที่ 22 มีนาคม 2567 ที่วัดพระประโทนเจดีย์ วรวิหาร ต.พระประโทน อ.เมือง จ.นครปฐม นายจิรวัฒน์ สะสมทรัพย์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครปฐม ประธานเปิดงานนมัสการองค์วัดพระประโทนเจดีย์ ประจำปี 2567 ร่วมด้วย ดร.ณัฎฐิกา ลิ้มเฉลิม ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐม เขต 1 นายภัทรชัย ตั้งเจริญกร นายกเทศมนตรีตำบลธรรมศาลา พร้อมผู้นำชุมชน และผู้มีเกียรติร่วมพิธีเปิดฯ

      พระศรีธีรวงศ์ เจ้าคณะอำเภอดอนตูม เจ้าอาวาสวัดพระประโทนเจดีย์ วรวิหาร

         พระศรีธีรวงศ์ เจ้าคณะอำเภอดอนตูม เจ้าอาวาสวัดพระประโทนเจดีย์ วรวิหาร เปิดเผยว่า ในการจัดงานนมัสการองค์วัดพระประโทนเจดีย์ ประจำปี 2567 ครั้งนี้ สืบเนื่องจากองค์พระประโทนเจดีย์ เป็นโบราณสถานที่มีอายุยาวนานนับพันปี มีความสำคัญด้านประวัติศาสตร์ เกี่ยวกับ ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ อีกแห่งหนึ่งของจังหวัดนครปฐม ซึ่งควรค่าแก่การยกย่องเชิดชูบูชา และการกราบไหว้ ดังนั้น ทางวัดและคณะกรรมการต้องการเผยแพร่เกียรติศัพท์ เกียรติคุณแห่งองค์พระประโทนเจดีย์ ให้เป็นที่รู้จักและแพร่หลายยิ่งขึ้น หลังจากที่เว้นว่างห่างหายจากการจัดงานมานานนับหลายทศวรรษ

      ทั้งนี้ โดยงานจะเริ่มตั้งแต่ 22-28 มีนาคม 2567 รวม 7วัน 7 คืน เพื่อเป็นพุทธบูชา สังฆบูชา รวบรวมจตุปัจจัยนำไปปฎิสังขรณ์ถาวรวัตถุภายในวัดต่อไป

          วีรวิชญ์ โรจนอัครพงศ์ ภาพ/ข่าว

      ผู้ว่าฯ นครปฐม และผู้บริหารบริษัทกลุ่มเซ็นทรัล อัญเชิญตราตั้งพระราชทาน“พระครุฑพ่าห์” ขึ้นประดิษฐานที่ห้างเซ็นทรัลนครปฐม

      ผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม และคณะผู้บริหารบริษัทกลุ่มเซ็นทรัล อัญเชิญตราตั้งพระราชทาน“พระครุฑพ่าห์” ขึ้นประดิษฐานที่ห้างเซ็นทรัลนครปฐม สาขาใหม่ล่าสุดลำดับที่ 28.



      วันที่ 21 มีนาคม 2567 ที่บริเวณหน้าห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลนครปฐม นายสุรศักดิ์ เจริญศิริโชติ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม พร้อมด้วย คุณรวิศรา จิราธิวัฒน์ ประธานบริหารฝ่ายการตลาด  กลุ่มห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล ในเครือเซ็นทรัล รีเทล เป็นประธานในพิธีบวงสรวงและอัญเชิญตราตั้งพระราชทาน “พระครุฑพ่าห์” ของห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล สาขาใหม่ล่าสุดลำดับที่ 28 ขึ้นประดิษฐานที่ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลนครปฐม เพื่อความเป็นสิริมงคล

        โดยมี นางสาวอโรชา นันทมนตรี รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม นางวราภรณ์ เจริญศิริโชติ นายกเหล่ากาชาดจังหวัดนครปฐม พันโท สินธพ แก้วพิจิตร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนครปฐม เขต 2 นายจิรวัฒน์ สะสมทรัพย์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด ตลอดจนนายอำเภอเมืองนครปฐม รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 7  ผู้บังคับการตำรวจภูธร จังหวัด ผกก.สภ.เมืองนครปฐม รองนายกเทศมนตรีจังหวัดนครปฐม จัดหางาน จังหวัดนครปฐม ประชาสัมพันธ์จังหวัด หอการค้าจังหวัด พาณิชย์จังหวัด ประธานสภาอุตสาหกรรม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดนครปฐม เขต 6 สวัสดิการแรงงาน จังหวัดนครปฐม ผู้แทนภาครัฐ เอกชน พร้อมทีมผู้บริหารห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล สื่อมวลชน และพนักงาน ให้เกียรติเข้าร่วมงานอย่างคับคั่ง


              คุณรวิศรา จิราธิวัฒน์ ประธานบริหารฝ่ายการตลาด กลุ่มห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล ในเครือเซ็นทรัล รีเทล กล่าวว่า “นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ ที่เมื่อวันที่ 9 ธ.ค.48 พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ห้างเซ็นทรัลอัญเชิญตราตั้งพระราชทาน “พระครุฑพ่าห์” ซึ่งเป็นตราประจำแผ่นดินขึ้นประดับหน้าอาคาร เพื่อสะท้อนความเป็นห้างสรรพสินค้าที่มีหลักฐานมั่นคง ประกอบกิจการด้วยความซื่อสัตย์สุจริตตลอดมา

      โดยในวันที่ 26 ต.ค.49 ได้มีการจัดพิธีบวงสรวงอัญเชิญตราตั้งพระครุฑพ่าห์ ขึ้นประดิษฐานหน้าอาคารห้างเซ็นทรัลชิดลมเป็นแห่งแรก ก่อนจะอัญเชิญประดับหน้าอาคารห้างเซ็นทรัลทุกสาขาทั่วประเทศต่อไป โดยห้างเซ็นทรัลนครปฐมนับเป็นสาขาล่าสุดที่ได้อัญเชิญตราตั้งพระราชทาน “พระครุฑพ่าห์” ขึ้นเป็นสิริมงคลและเป็นขวัญกำลังใจแก่คณะผู้บริหาร และพนักงานของห้างฯ สืบไป”


        ปัจจุบัน ห้างเซ็นทรัลเปิดให้บริการในประเทศไทยรวมทั้งหมด 28 สาขา ซึ่ง “ห้างเซ็นทรัลนครปฐม” ถือเป็นห้างสาขาล่าสุดและเป็นสาขาที่ 2 ในจังหวัดนครปฐม ในฐานะเดสติเนชันการช้อปแห่งใหม่ของประตูแห่งภาคตะวันตกที่พร้อมเปิดปฐมบทใหม่ของความสุขแห่งการช้อปบนพื้นที่กว่า 14,000 ตร.ม. ในงบลงทุนกว่า 500 ล้านบาท ที่มุ่งเติมเต็มและมอบประสบการณ์การช้อปปิ้งที่สมบูรณ์แบบ ทั้งดีไซน์การออกแบบที่ได้แรงบันดาลใจจากอัตลักษณ์อันโดดเด่นของจังหวัดอย่าง ‘องค์พระปฐมเจดีย์’ ครบครัน ทุกความต้องการกับจักรวาลสินค้าทั้งความงาม แฟชั่น สินค้าแม่และเด็ก และสินค้าตกแต่งบ้าน ที่พร้อมตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์

               
      สนง.ประชาสัมพันธ์จังหวัดนครปฐม ภาพ/ข่าว

      กรมการปกครองบุกจับโคตรบ่อนบางใหญ่ เปิดเล่น 24 ชม. เงินหมุนเวียนกว่า 300 ล้าน

      มท.1 ควงอธิบดีกรมการปกครอง นำทีมปฏิบัติการพิเศษกรมการปกครอง บุกทลายบ่อนพนันขนาดใหญ่ จ.นนทบุรี เดินหน้าจัดระเบียบสังคมตามนโยบายของกระทรวงมหาดไทยอย่างต่อเนื่อง

      นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย

        วันที่ 19 มีนาคม 2567 เวลา 21.00 น.นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วยนายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ อธิบดีกรมการปกครอง นำชุดปฏิบัติการพิเศษกรมการปกครอง และสมาชิกกองอาสารักษาดินแดน กองร้อยปฏิบัติการพิเศษที่ 3 กองร้อยบังคับการและบริการที่ 1 รวมแล้วกว่า 80 นาย ร่วมกับจังหวัดนนทบุรี นายสุธี ทองแย้ม ผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรี นายชุ้น ณัฐเดช กังสุกุล ปลัดจังหวัดนนทบุรี น.ส.ญาณิพัชญ์ ศรีโคตร นายอำเภอบางใหญ่ และเจ้าหน้าที่ตำรวจ พล.ต.ต.ปรารถนา แผ่นผา ผบก.ภ.จว.นนทบรี พ.ต.อ.รณภัฎ ทับทิมธงไชย ผกก.สภ.บางใหญ่ เข้าตรวจค้นจับกุมบ่อนการพนันขนาดใหญ่ในพื้นที่ตำบลบางแม่นาง อำเภอบางใหญ่ จังหวัดนนทบุรี สามารถจับกุมนักพนันได้กว่า 300 ราย

      จุดเริ่มต้นของปฏิบัติการเนื่องจากมีประชาชนร้องเรียนไปทางสำนักงานรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (นายชาดา ไทยเศรษฐ์) และได้ร้องเรียนมายังกรมการปกครองว่ามีผู้มีอิทธิพลลักลอบเปิดบ่อนการพนันขนาดใหญ่ ณ หมู่บ้านพระปิ่น 3 อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี จึงขอให้ กรมการปกครองส่งเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบบ่อนการพนันดังกล่าว

      โดยการสืบสวนครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2567 ชุดสืบสวนได้ทำการเข้าสืบสวนบ่อนการพนัน ซึ่งตั้งอยู่ที่ ไม่มีเลขที่ ตำบลบางแม่นาง อำเภอบางใหญ่ นนทบุรี อยู่ในหมู่บ้านพระปิ่น 3 ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในชื่อบ่อนพระปิ่น 3 พบอาคารขนาดใหญ่และมีรั้วรอบขอบชิด มีที่จอดรถจำนวนมาก พบเห็นผู้คนเข้าออกอาคารดังกล่าวอยู่ตลอดเวลาที่ทำการสืบสวน  ซึ่งคาดว่าภายในจัดให้มีคนเล่นการพนันอย่างแน่นอน

      และการสืบสวนครั้งที่ 2 วันที่ 12 มีนาคม 2567 สายลับพนักงานฝ่ายปกครองเข้าทำการสืบสวนข้อเท็จจริง พบว่า ลักษณะของบ่อนการพนันมีรั้วมิดชิดพื้นที่บ่อนการพนันมีขนาดใหญ่ สามารถจอดรถได้ 100 – 150 คัน รวมพื้นที่ของบ่อนและลานจอดรถประมาณ 2,000 ตารางเมตร นอกจากนี้ยังมีลานจอดรถด้านนอก มีพื้นที่ประมาณ 4,500 ตารางเมตร สามารถรองรับรถยนต์ได้ประมาณ 200 – 300 คัน สายลับทำทีเป็นนักพนันที่ได้รับการชักชวนมาจากนักพนันรายอื่น จึงสามาถผ่านเข้าประตูแรกริมรั้วเข้าไปได้ พนักงานทุกคนจะมีวิทยุสื่อสารกัน คอยสื่อสารแจ้งข้อมูลรถยนต์และจำนวนคนที่เข้าไปเล่นภายในบ่อน แต่เมื่อเข้าไปภายในอาคาร มีการ์ดจำนวน 5 คน ทำหน้าที่ซักถามประวัติว่าเคยมาเล่นที่บ่อนการพนันแห่งนี้หรือไม่ รู้จักใครด้านในหรือไม่ การจะเข้าได้ต้องมีคนข้างในมาพาเข้า สายลับไม่มีคนรู้จักด้านในมาพาเข้าจึงยังไม่สามารถเข้าทำการสืบสวนข้อเท็จจริงด้านในที่เป็นพื้นที่จัดให้เล่นการพนันได้ ซึ่งทำให้ทราาบว่าบ่อนการพนันแห่งนี้มีระบบการรักษาความปลอดภัยขั้นสูง ตั้งรับการประเข้าตรวจค้นจับกุมของเจ้าหน้าที่

      และเมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2567 เวลา 16.00 นาฬิกา เจ้าพนักงานฝ่ายปกครอง สำนักการสอบสวนและนิติการ (ศูนย์ปฏิบัติการบังคับใช้กฎหมายพนักงานฝ่ายปกครอง) ได้ทำการสรุปข้อมูลจากการสืบสวนในชั้นต้น ได้ความว่า นักพนักทุกคนที่จะสามารถเข้าเล่นการพนันในบ่อนแห่งนี้ได้ ต้องมีคนรู้จักซึ่งเคยเข้ามาเล่นที่บ่อนแห่งนี้เป็นประจำพาเข้า เพราะการ์ดด้านในจะตรวจเช็คประวัตินักพนักหน้าใหม่อย่างละเอียดและจากการสังเกตนักพนันส่วนมากลักษณะเป็นคนมีเงิน ผิวพรรรณ ดี แต่งตัวดี เป็น อาเฮีย อาซ้อ พบเห็นรถยนต์ของนักพนันที่เข้ามาเล่นในบ่อนการพนันส่วนมากเป็นรถยุโรป ราคาแพง และมีป้ายประมูล ทำให้สันนิษฐานได้ว่าต้องมีเงินหมุนเวียนภายในบ่อนการพนันแห่งนี้จำนวนมากต่อวัน นอกจากนี้ยังมีระบบการรักษาความปลอดภัยที่แน่นหนา มีกล้องวงจรปิดรอบพื้นที่ ทั้งด้านในและด้านนอกอาคาร ทำให้พนักงาน การ์ดของบ่อนสามารถเห็นพฤติการณ์ กระกระทำของบุคคลที่เข้ามาภายในพื้นที่ได้

      และการสืบสวนภายในบ่อนการพนัน วันที่ 12 มีนาคม 2567 เวลา 21.00 นาฬิกา สายลับพนักงานฝ่ายปกครองวางแผนเข้าสืบสวนข้อเท็จจริงอีกครั้งหนึ่ง สายลับสามารถเข้าไปในบริเวณด้านในได้ ภายในมีการจัดให้เล่นการพนันจำนวน 3 ประเภท คือ การพนันกำถั่ว การพนันบาการา และการพนันเสือมังกร พบเห็นโต๊ะที่จัดให้เล่นพนันประเภท ถั่ว จำนวน 2 โต๊ะ ขนาดใหญ่ และการพนันประเภทบาการารวม 11 โต๊ะ รวมแล้วมีการพนันมากถึง 13 วงพนัน

         จุดเด่นของบ่อนการพนันแห่งนี้ จะมีการให้บริการ อาหาร เครื่องดื่ม ให้แก่นักพนัน ตลอด 24 ชั่วโมงเพื่อเป็นการดึงดูดใจนักเล่นและผ่อนคลายจากการเล่นการพนัน

      และในวันเข้าจับกุม ชุดสืบสวนส่งสายลับพนักงานฝ่ายปกครองเข้าแฝงตัวอยู่ในบ่อนการพนันดังกล่าวจนเป็นที่แน่ชัดแล้วว่าพบเห็นการจัดให้มีการเล่นพนันจริง อันเป็นความผิดตามกฎหมาย จึงได้ส่งสัญญาณให้ชุดเจ้าคุม เข้าตรวจค้น แสดงตัว จึงนำตัวผู้ถูกจับทั้งหมดมาทำบันทึกจับกุม ณ ที่ว่าการอำเภอบางใหญ่ดำเนินคดีในข้อหาร่วมกันลักลอบจัดให้มีการเล่นการพนันโดยผิดกฎหมาย ส่งพนักงานสอบสวน สภ.บางบางใหญ่ ดำเนินคดีต่อไป

      นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย

      นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้มอบนโยบายจัดระเบียบสังคมและปราบปรามผู้มีอิทธิพลสำหรับเจ้าหน้าที่ผู้บังคับใช้กฎหมายต้องมีความรอบรู้หลากหลาย ทันโลก เพื่อการเฝ้าระวังการกระทำความผิดทางกฎหมาย บ่อนการพนันถือได้ว่าเป็นหนึ่งในภารกิจสำคัญของผู้บังคับใช้กฎหมาย ซึ่งรัฐบาลให้ความสำคัญ และเป็นหนึ่งในภารกิจการจัดระเบียบสังคมด้วย ดังนั้น ผู้บังคับใช้กฎหมายต้องมีความเชี่ยวชาญด้านต่างๆ ทั้งการหาข่าว การสืบสวน การเข้าถึงแหล่งผู้กระทำความผิด แม้กระทั่งและจะต้องดำเนินกระบวนการทางกฎหมายอย่างรอบคอบและจริงจังด้วย

        ระบบป้องกันของบ่อนแห่งนี้คือ ประตูทางเข้าทางออก เป็นประตูเหล็กขนาดใหญ่ถึง 3 ชั้น นอกจากนี้ยังมีประตูลับทางด้านหลัง เพื่อให้เจ้ามือและนักเล่นระดับ VIP หลบออก นอกจากนี้ยังมีพนักงานรักษาความปลอดภัยกระจายอยู่ทุกจุด ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง มีการตรวจตราอย่างแน่นหนา พบกล้องวงจรปิดมากกว่า 30 ตัว เพื่อสอดส่อง ตรวจตรานักพนันที่เข้ามาเล่นภายในและภายนอก

      หากประชาชนมีข้อร้องเรียน สามารถร้องเรียนได้ที่ศูนย์ดำรงธรรมอำเภอและจังหวัด หรือร้องเรียนผ่านสายด่วนศูนย์ดำรงธรรมกระทรวงมหาดไทย  หมายเลข 1567 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

      ขอขอบคุณ. ภาพ-ข่าว กรมการปกครอง

      ครีเอทนิวส์ รายงาน

      30 มีนานี้เปิดยิ่งใหญ่ ‘เซ็นทรัล นครปฐม’ แลนด์มาร์กด้านการค้าที่ ยิ่งใหญ่ที่สุดในนครปฐม ด้วยงบ 8,200 ล้าน

      เซ็นทรัล นครปฐม’ ปฐมบทใหม่ของความสุขทุกมิติ แลนด์มาร์ก ยิ่งใหญ่ที่สุดในนครปฐม ยกระดับเมืองศักยภาพประตูสู่ภาคตะวันตก กำหนดเปิด 30 มีนาคมนี้แน่นอน

      ดร.ณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา กรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาด

        ที่โรงแรมไมด้านครปฐม ดร.ณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา กรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาด บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ได้เป็นประธานแถลงข่าวเรื่องกำหนดการเปิดห้าง “เซ็นทรัล นครปฐม”  ว่านครปฐม เป็นจังหวัดที่พร้อมด้วยศักยภาพด้านเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง เป็นเมืองเศรษฐกิจ ที่ GPP เติบโตขึ้นทุกปี และเป็นอันดับ 3 ของภาคกลาง เป็นจังหวัดที่รองรับการขยายตัวของประชากรจากกรุงเทพฯ รวมถึงมีโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง อีกทั้ง เมกะโปรเจกต์ภาครัฐหลายโครงการ อย่างรถไฟฟ้าชานเมือง สายสีแดงอ่อน (จากนครปฐมสู่ใจกลางกรุงเทพฯ)มอเตอร์เวย์ 2 สาย ได้แก่ สายบางใหญ่-กาญจนบุรี และ ชลบุรี-สระบุรี-นครปฐม พร้อมด้วย ระเบียงเศรษฐกิจภาคกลาง-ตะวันตก ด้านการท่องเที่ยว และอุตสาหกรรม

      ซึ่งนครปฐม เป็น “ประตูเศรษฐกิจสู่ภาคตะวันตก” ที่รองรับกำลังซื้อจากคนนครปฐม และขยาย New Catchment ไปยัง ราชบุรี และ กาญจนบุรี นอกจากนี้ นครปฐม ยังเป็นเมืองแห่งศิลปะ และวัฒนธรรมที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ของไทย เป็นศูนย์กลางความเจริญตั้งแต่สมัยทวาราวดี มีมรดกทางวัฒนธรรม เสน่ห์ของเมืองเก่า และ “อู่อารยธรรม” ที่รุ่งเรือง ด้วยแลนด์มาร์กสำคัญอย่าง พระปฐมเจดีย์ เป็น เมืองมหาวิทยาลัย เป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยชั้นนำหลายแห่ง จึงเป็นแหล่งศูนย์รวมของคนรุ่นใหม่ เมืองแห่งการท่องเที่ยว ต้อนรับนักท่องเที่ยวจากกรุงเทพฯ และจังหวัดใกล้เคียงในช่วงสุดสัปดาห์ มีสถานที่ท่องเที่ยวครบทุกสไตล์ ทั้งไหว้พระทำบุญ ชื่นชมธรรมชาติหรือสถานที่ประวัติศาสตร์

        จึงเป็นประเด็นหนึ่งที่เครือกลุ่มเซ็นทรัล ได้มาลงทุนด้วยงบลงมหาศาล 8200 ล้าน บนพื้นที่กว่า 100 ไร่ ครบครันด้วย ศูนย์การค้า, ห้างสรรพสินค้า, โรงแรม, คอนโด, บ้านเดี่ยว และครั้งแรกกับ “Multi-Generation Space” 4 ไร่ใจกลางโครงการ ให้ทุกคนในครอบครัวใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพร่วมกัน

      และบุกเบิกเมืองศักยภาพ สู่การเป็น “ประตูสู่ภาคตะวันตก” ยกระดับการใช้ชีวิตให้คนนครปฐม และจังหวัดใกล้เคียง ราชบุรี-กาญจนบุรี รองรับโครงการภาครัฐ สร้างงาน-อาชีพ กระจายรายได้ชุมชน

      และผนึกกลุ่มเซ็นทรัล อาทิ ห้างเซ็นทรัล เปิดปฐมบทใหม่ของความสุขแห่งการช้อปปิ้ง ด้วยดีไซน์การออกแบบที่สะท้อนอัตลักษณ์อันโดดเด่นของจังหวัด รวมทั้งทัพแบรนด์ดังระดับโลกกว่า 500 แบรนด์ชั้นนำและบริการที่ดีที่สุด พร้อมดึงแบรนด์โลคอลสร้างการเติบโตภาคธุรกิจร่วมกัน

      รวมทั้งการนำเสนออัตลักษณ์จังหวัด ขับเคลื่อนเมืองเศรษฐกิจ ศิลปะ ดนตรี อาหาร จับมือCommunity ร่วม Co-Creation เติมเต็มนครปฐมให้สมบูรณ์ผ่านงานศิลปะและอีเวนต์

      ชมคลิป.https://youtu.be/DIWqAn3VaNM?si=E7CH5WAOg73uEE5_

      โดยในวันที่ 30 มี.ค.นี้ จะมีการฉลองเปิดสุดยิ่งใหญ่ ท่านจะได้พบกลับดาราคู่ขวัญชื่อดัง ณเดชน์-ญาญ่า เปิดฟลอร์ความสนุกร่วมSwing Dance ทำลายสถิติ Asia Book of Records

      30 มีนานี้เปิดยิ่งใหญ่ ‘เซ็นทรัล นครปฐม’ แลนด์มาร์กด้านการค้าที่ ยิ่งใหญ่ที่สุดในนครปฐม

      เซ็นทรัล นครปฐม’ ปฐมบทใหม่ของความสุขทุกมิติ แลนด์มาร์ก ยิ่งใหญ่ที่สุดในนครปฐม ยกระดับเมืองศักยภาพประตูสู่ภาคตะวันตก กำหนดเปิด 30 มีนาคมนี้แน่นอน

      ดร.ณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา กรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาด

        ที่โรงแรมไมด้านครปฐม ดร.ณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา กรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาด บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ได้เป็นประธานแถลงข่าวเรื่องกำหนดการเปิดห้าง “เซ็นทรัล นครปฐม”  ว่านครปฐม เป็นจังหวัดที่พร้อมด้วยศักยภาพด้านเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง เป็นเมืองเศรษฐกิจ ที่ GPP เติบโตขึ้นทุกปี และเป็นอันดับ 3 ของภาคกลาง เป็นจังหวัดที่รองรับการขยายตัวของประชากรจากกรุงเทพฯ รวมถึงมีโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง อีกทั้ง เมกะโปรเจกต์ภาครัฐหลายโครงการ อย่างรถไฟฟ้าชานเมือง สายสีแดงอ่อน (จากนครปฐมสู่ใจกลางกรุงเทพฯ)มอเตอร์เวย์ 2 สาย ได้แก่ สายบางใหญ่-กาญจนบุรี และ ชลบุรี-สระบุรี-นครปฐม พร้อมด้วย ระเบียงเศรษฐกิจภาคกลาง-ตะวันตก ด้านการท่องเที่ยว และอุตสาหกรรม

      ซึ่งนครปฐม เป็น “ประตูเศรษฐกิจสู่ภาคตะวันตก” ที่รองรับกำลังซื้อจากคนนครปฐม และขยาย New Catchment ไปยัง ราชบุรี และ กาญจนบุรี นอกจากนี้ นครปฐม ยังเป็นเมืองแห่งศิลปะ และวัฒนธรรมที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ของไทย เป็นศูนย์กลางความเจริญตั้งแต่สมัยทวาราวดี มีมรดกทางวัฒนธรรม เสน่ห์ของเมืองเก่า และ “อู่อารยธรรม” ที่รุ่งเรือง ด้วยแลนด์มาร์กสำคัญอย่าง พระปฐมเจดีย์ เป็น เมืองมหาวิทยาลัย เป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยชั้นนำหลายแห่ง จึงเป็นแหล่งศูนย์รวมของคนรุ่นใหม่ เมืองแห่งการท่องเที่ยว ต้อนรับนักท่องเที่ยวจากกรุงเทพฯ และจังหวัดใกล้เคียงในช่วงสุดสัปดาห์ มีสถานที่ท่องเที่ยวครบทุกสไตล์ ทั้งไหว้พระทำบุญ ชื่นชมธรรมชาติหรือสถานที่ประวัติศาสตร์

        จึงเป็นประเด็นหนึ่งที่เครือกลุ่มเซ็นทรัล ได้มาลงทุนด้วยงบลงมหาศาล 8200 ล้าน บนพื้นที่กว่า 100 ไร่ ครบครันด้วย ศูนย์การค้า, ห้างสรรพสินค้า, โรงแรม, คอนโด, บ้านเดี่ยว และครั้งแรกกับ “Multi-Generation Space” 4 ไร่ใจกลางโครงการ ให้ทุกคนในครอบครัวใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพร่วมกัน

      และบุกเบิกเมืองศักยภาพ สู่การเป็น “ประตูสู่ภาคตะวันตก” ยกระดับการใช้ชีวิตให้คนนครปฐม และจังหวัดใกล้เคียง ราชบุรี-กาญจนบุรี รองรับโครงการภาครัฐ สร้างงาน-อาชีพ กระจายรายได้ชุมชน

      และผนึกกลุ่มเซ็นทรัล อาทิ ห้างเซ็นทรัล เปิดปฐมบทใหม่ของความสุขแห่งการช้อปปิ้ง ด้วยดีไซน์การออกแบบที่สะท้อนอัตลักษณ์อันโดดเด่นของจังหวัด รวมทั้งทัพแบรนด์ดังระดับโลกกว่า 500 แบรนด์ชั้นนำและบริการที่ดีที่สุด พร้อมดึงแบรนด์โลคอลสร้างการเติบโตภาคธุรกิจร่วมกัน

      รวมทั้งการนำเสนออัตลักษณ์จังหวัด ขับเคลื่อนเมืองเศรษฐกิจ ศิลปะ ดนตรี อาหาร จับมือCommunity ร่วม Co-Creation เติมเต็มนครปฐมให้สมบูรณ์ผ่านงานศิลปะและอีเวนต์

      โดยในวันที่ 30 มี.ค.นี้ จะมีการฉลองเปิดสุดยิ่งใหญ่ ท่านจะได้พบกลับดาราคู่ขวัญชื่อดัง ณเดชน์-ญาญ่า เปิดฟลอร์ความสนุกร่วมSwing Dance ทำลายสถิติ Asia Book of Records

      30 มีนานี้เปิดยิ่งใหญ่ ‘เซ็นทรัล นครปฐม’ แลนด์มาร์กด้านการค้าที่ ยิ่งใหญ่ที่สุดในนครปฐม

      เซ็นทรัล นครปฐม’ ปฐมบทใหม่ของความสุขทุกมิติ แลนด์มาร์ก ยิ่งใหญ่ที่สุดในนครปฐม ยกระดับเมืองศักยภาพประตูสู่ภาคตะวันตก กำหนดเปิด 30 มีนาคมนี้แน่นอน

      ดร.ณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา กรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาด

        ที่โรงแรมไมด้านครปฐม ดร.ณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา กรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาด บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ได้เป็นประธานแถลงข่าวเรื่องกำหนดการเปิดห้าง “เซ็นทรัล นครปฐม”  ว่านครปฐม เป็นจังหวัดที่พร้อมด้วยศักยภาพด้านเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง เป็นเมืองเศรษฐกิจ ที่ GPP เติบโตขึ้นทุกปี และเป็นอันดับ 3 ของภาคกลาง เป็นจังหวัดที่รองรับการขยายตัวของประชากรจากกรุงเทพฯ รวมถึงมีโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง อีกทั้ง เมกะโปรเจกต์ภาครัฐหลายโครงการ อย่างรถไฟฟ้าชานเมือง สายสีแดงอ่อน (จากนครปฐมสู่ใจกลางกรุงเทพฯ)มอเตอร์เวย์ 2 สาย ได้แก่ สายบางใหญ่-กาญจนบุรี และ ชลบุรี-สระบุรี-นครปฐม พร้อมด้วย ระเบียงเศรษฐกิจภาคกลาง-ตะวันตก ด้านการท่องเที่ยว และอุตสาหกรรม

      ซึ่งนครปฐม เป็น “ประตูเศรษฐกิจสู่ภาคตะวันตก” ที่รองรับกำลังซื้อจากคนนครปฐม และขยาย New Catchment ไปยัง ราชบุรี และ กาญจนบุรี นอกจากนี้ นครปฐม ยังเป็นเมืองแห่งศิลปะ และวัฒนธรรมที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ของไทย เป็นศูนย์กลางความเจริญตั้งแต่สมัยทวาราวดี มีมรดกทางวัฒนธรรม เสน่ห์ของเมืองเก่า และ “อู่อารยธรรม” ที่รุ่งเรือง ด้วยแลนด์มาร์กสำคัญอย่าง พระปฐมเจดีย์ เป็น เมืองมหาวิทยาลัย เป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยชั้นนำหลายแห่ง จึงเป็นแหล่งศูนย์รวมของคนรุ่นใหม่ เมืองแห่งการท่องเที่ยว ต้อนรับนักท่องเที่ยวจากกรุงเทพฯ และจังหวัดใกล้เคียงในช่วงสุดสัปดาห์ มีสถานที่ท่องเที่ยวครบทุกสไตล์ ทั้งไหว้พระทำบุญ ชื่นชมธรรมชาติหรือสถานที่ประวัติศาสตร์

        จึงเป็นประเด็นหนึ่งที่เครือกลุ่มเซ็นทรัล ได้มาลงทุนด้วยงบลงมหาศาล 8200 ล้าน บนพื้นที่กว่า 100 ไร่ ครบครันด้วย ศูนย์การค้า, ห้างสรรพสินค้า, โรงแรม, คอนโด, บ้านเดี่ยว และครั้งแรกกับ “Multi-Generation Space” 4 ไร่ใจกลางโครงการ ให้ทุกคนในครอบครัวใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพร่วมกัน

      และบุกเบิกเมืองศักยภาพ สู่การเป็น “ประตูสู่ภาคตะวันตก” ยกระดับการใช้ชีวิตให้คนนครปฐม และจังหวัดใกล้เคียง ราชบุรี-กาญจนบุรี รองรับโครงการภาครัฐ สร้างงาน-อาชีพ กระจายรายได้ชุมชน

      และผนึกกลุ่มเซ็นทรัล อาทิ ห้างเซ็นทรัล เปิดปฐมบทใหม่ของความสุขแห่งการช้อปปิ้ง ด้วยดีไซน์การออกแบบที่สะท้อนอัตลักษณ์อันโดดเด่นของจังหวัด รวมทั้งทัพแบรนด์ดังระดับโลกกว่า 500 แบรนด์ชั้นนำและบริการที่ดีที่สุด พร้อมดึงแบรนด์โลคอลสร้างการเติบโตภาคธุรกิจร่วมกัน

      รวมทั้งการนำเสนออัตลักษณ์จังหวัด ขับเคลื่อนเมืองเศรษฐกิจ ศิลปะ ดนตรี อาหาร จับมือCommunity ร่วม Co-Creation เติมเต็มนครปฐมให้สมบูรณ์ผ่านงานศิลปะและอีเวนต์

      โดยในวันที่ 30 มี.ค.นี้ จะมีการฉลองเปิดสุดยิ่งใหญ่ ท่านจะได้พบกลับดาราคู่ขวัญชื่อดัง ณเดชน์-ญาญ่า เปิดฟลอร์ความสนุกร่วมSwing Dance ทำลายสถิติ Asia Book of Records

      สถาบัน TDA เปิดอบรมยิงปืนหลักสูตร Lv1 ที่สนามยิงปืนภูมิไพลิน ปทุมธานี

      ครูโอ๊ต ครูฝึกกองพันทหารสารวัตรที่ 11 เปิดอบรมการเรียนยิงปืนในหลักสูตร Lv1 ของสถาบัน TDA ที่สนามยิงปืนภูมิไพลิน อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี

      เมื่อวันที่ 17 มี.ค. 2567 จ.ส.ต.ธัญญ์พัทธิ์ ธรรมศิลป์ หรือครูโอ๊ต หัวหน้าครูฝึกกองพันทหารสารวัตรที่ 11 ได้มาเป็นครูฝึกอบรมการยิงปืน

        โดยครั้งนี้เป็นการอบรมการเรียนยิงปืนในหลักสูตร Lv1 ของสถาบัน TDA ที่สนามยิงปืนภูมิไพลิน อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี
      สำหรับหลักสูตรนี้เป็นการเรียนยิงปืนในเบื้องต้น ผู้ที่เข้าฝึกจะได้เรียนรู้การยิงช้า ยิงประณีต การรู้กฏความปลอดภัยสากล 10 ประการ กฏนิรภัย 4 ประการ มารยาทสังคมปืน รู้จักเทคนิคอาวุธ การแบ่งประเภทของปืนพกสั้น ว่ามีชิ้นส่วนอะไรบ้าง รู้จักการถอดประกอบอาวุธปืน รู้จักขั้นตอนการลั่นไก และรู้ข้อกฏหมายที่เกี่ยวกับปืน


      ทั้งนี้หลักสูตร Lv1 จะเน้นทฤษฎีเป็นหลัก เพื่อให้ผู้ที่เข้าอบรมมีความเข้าใจในเรื่องของการใช้อาวุธปืนอย่างไรให้ปลอดภัยกับตัวเองและคนรอบข้าง.

      อบรมสัมนา ครูตชด.ภาษาอังกฤษ รร.ตชด.พื้นที่ จ.เชียงใหม่ -พิษณุโลก – อุตรดิตถ์

      โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน สังกัด กก.ตชด.31 (รร.ตชด.พื้นที่ จ.เชียงใหม่-พิษณุโลก – อุตรดิตถ์) จัดอบรมครูภาษาอังกฤษ

      เมื่อวันที่ 12-14 มีนาคม 2567 พลตำรวจตรีประกอบ พลเตชา อดีตผู้บังคับการตำรวจตระเวนชายแดนภาค 3 พันตำรวจเอก ประกฤติ ยามานนท์ ในฐานะที่ปรึกษา มูลนิธิพุทธรักษา

      พร้อมด้วย คุณฉันท์ชนก ดุจดำรงค์ฤทธิ์ ผู้จัดการอาวุโส มูลนิธิพุทธรักษาและคณะวิทยากรจากมูลนิธิพุทธรักษา ซึ่งได้ให้การสนับสนุนการเพิ่มประสิทธิภาพให้ครูตำรวจตระเวนชายแดน ตชด.ภาค 3 ผู้สอนวิชาภาษาอังกฤษ

        ได้จัดอบรมสัมนา ครู ตชด.ภาษาอังกฤษ ใน รร.ตชด.สังกัด กก.ตชด.31 (รร.ตชด.พื้นที่ จ.เชียงใหม่-พิษณุโลก – อุตรดิตถ์) จำนวน 10 คน ณ โรงแรมอารย จ.อุตรดิตถ์ โดยได้แนะนำเทคนิคการสอน ภาษาอังกฤษ สำหรับ นร.ตชด.โดยเน้นการสนทนา และตั้งคำถามให้นักเรียนวิเคราะห์ ซึ่งจะส่งผลต่อการสอบโอเน็ต ซึ่งโจทย์ส่วนใหญ่ เป็นลักษณะการวิเคราะห์มากกว่า การท่องจำ.

      อบรมสัมนา ครูตชด.ภาษาอังกฤษ รร.ตชด.พื้นที่ จ.เชียงใหม่ -พิษณุโลก – อุตรดิตถ์

      โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน สังกัด กก.ตชด.31 (รร.ตชด.พื้นที่ จ.เชียงใหม่-พิษณุโลก – อุตรดิตถ์) จัดอบรมครูภาษาอังกฤษ

      เมื่อวันที่ 12-14 มีนาคม 2567 พลตำรวจตรีประกอบ พลเตชา อดีตผู้บังคับการตำรวจตระเวนชายแดนภาค 3 พันตำรวจเอก ประกฤติ ยามานนท์ ในฐานะที่ปรึกษา มูลนิธิพุทธรักษา

      พร้อมด้วย คุณฉันท์ชนก ดุจดำรงค์ฤทธิ์ ผู้จัดการอาวุโส มูลนิธิพุทธรักษาและคณะวิทยากรจากมูลนิธิพุทธรักษา ซึ่งได้ให้การสนับสนุนการเพิ่มประสิทธิภาพให้ครูตำรวจตระเวนชายแดน ตชด.ภาค 3 ผู้สอนวิชาภาษาอังกฤษ

        ได้จัดอบรมสัมนา ครู ตชด.ภาษาอังกฤษ ใน รร.ตชด.สังกัด กก.ตชด.31 (รร.ตชด.พื้นที่ จ.เชียงใหม่-พิษณุโลก – อุตรดิตถ์) จำนวน 10 คน ณ โรงแรมอารย จ.อุตรดิตถ์ โดยได้แนะนำเทคนิคการสอน ภาษาอังกฤษ สำหรับ นร.ตชด.โดยเน้นการสนทนา และตั้งคำถามให้นักเรียนวิเคราะห์ ซึ่งจะส่งผลต่อการสอบโอเน็ต ซึ่งโจทย์ส่วนใหญ่ เป็นลักษณะการวิเคราะห์มากกว่า การท่องจำ.

      อบรมสัมนา ครู ตชด.ภาษาอังกฤษ รร.ตชด.พื้นที่ จ.เชียงใหม่ -พิษณุโลก – อุตรดิตถ์

      โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน สังกัด กก.ตชด.31 (รร.ตชด.พื้นที่ จ.เชียงใหม่-พิษณุโลก – อุตรดิตถ์) จัดอบรมครูภาษาอังกฤษ

      เมื่อวันที่ 12-14 มีนาคม 2567 พลตำรวจตรีประกอบ พลเตชา อดีตผู้บังคับการตำรวจตระเวนชายแดนภาค 3 พันตำรวจเอก ประกฤติ ยามานนท์ ในฐานะที่ปรึกษา มูลนิธิพุทธรักษา

      พร้อมด้วย คุณฉันท์ชนก ดุจดำรงค์ฤทธิ์ ผู้จัดการอาวุโส มูลนิธิพุทธรักษาและคณะวิทยากรจากมูลนิธิพุทธรักษา ซึ่งได้ให้การสนับสนุนการเพิ่มประสิทธิภาพให้ครูตำรวจตระเวนชายแดน ตชด.ภาค 3 ผู้สอนวิชาภาษาอังกฤษ

        ได้จัดอบรมสัมนา ครู ตชด.ภาษาอังกฤษ ใน รร.ตชด.สังกัด กก.ตชด.31 (รร.ตชด.พื้นที่ จ.เชียงใหม่-พิษณุโลก – อุตรดิตถ์) จำนวน 10 คน ณ โรงแรมอารย จ.อุตรดิตถ์ โดยได้แนะนำเทคนิคการสอน ภาษาอังกฤษ สำหรับ นร.ตชด.โดยเน้นการสนทนา และตั้งคำถามให้นักเรียนวิเคราะห์ ซึ่งจะส่งผลต่อการสอบโอเน็ต ซึ่งโจทย์ส่วนใหญ่ เป็นลักษณะการวิเคราะห์มากกว่า การท่องจำ.

      อบรมสัมนา ครู ตชด.ภาษาอังกฤษ รร.ตชด.พื้นที่ จ.เชียงใหม่ -พิษณุโลก – อุตรดิตถ์

      โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน สังกัด กก.ตชด.31 (รร.ตชด.พื้นที่ จ.เชียงใหม่-พิษณุโลก – อุตรดิตถ์) จัดอบรมครูภาษาอังกฤษ

      เมื่อวันที่ 12-14 มีนาคม 2567 พลตำรวจตรีประกอบ พลเตชา อดีตผู้บังคับการตำรวจตระเวนชายแดนภาค 3 พันตำรวจเอก ประกฤติ ยามานนท์ ในฐานะที่ปรึกษา มูลนิธิพุทธรักษา

      พร้อมด้วย คุณฉันท์ชนก ดุจดำรงค์ฤทธิ์ ผู้จัดการอาวุโส มูลนิธิพุทธรักษาและคณะวิทยากรจากมูลนิธิพุทธรักษา ซึ่งได้ให้การสนับสนุนการเพิ่มประสิทธิภาพให้ครูตำรวจตระเวนชายแดน ตชด.ภาค 3 ผู้สอนวิชาภาษาอังกฤษ

        ได้จัดอบรมสัมนา ครู ตชด.ภาษาอังกฤษ ใน รร.ตชด.สังกัด กก.ตชด.31 (รร.ตชด.พื้นที่ จ.เชียงใหม่-พิษณุโลก – อุตรดิตถ์) จำนวน 10 คน ณ โรงแรมอารย จ.อุตรดิตถ์ โดยได้แนะนำเทคนิคการสอน ภาษาอังกฤษ สำหรับ นร.ตชด.โดยเน้นการสนทนา และตั้งคำถามให้นักเรียนวิเคราะห์ ซึ่งจะส่งผลต่อการสอบโอเน็ต ซึ่งโจทย์ส่วนใหญ่ เป็นลักษณะการวิเคราะห์มากกว่า การท่องจำ.

      อบรมสัมนา ครูตชด.ภาษาอังกฤษ รร.ตชด.พื้นที่ จ.เชียงใหม่ -พิษณุโลก – อุตรดิตถ์

      โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน สังกัด กก.ตชด.31 (รร.ตชด.พื้นที่ จ.เชียงใหม่-พิษณุโลก – อุตรดิตถ์) จัดอบรมครูภาษาอังกฤษ

      เมื่อวันที่ 12-14 มีนาคม 2567 พลตำรวจตรีประกอบ พลเตชา อดีตผู้บังคับการตำรวจตระเวนชายแดนภาค 3 พันตำรวจเอก ประกฤติ ยามานนท์ ในฐานะที่ปรึกษา มูลนิธิพุทธรักษา

      พร้อมด้วย คุณฉันท์ชนก ดุจดำรงค์ฤทธิ์ ผู้จัดการอาวุโส มูลนิธิพุทธรักษาและคณะวิทยากรจากมูลนิธิพุทธรักษา ซึ่งได้ให้การสนับสนุนการเพิ่มประสิทธิภาพให้ครูตำรวจตระเวนชายแดน ตชด.ภาค 3 ผู้สอนวิชาภาษาอังกฤษ

        ได้จัดอบรมสัมนา ครู ตชด.ภาษาอังกฤษ ใน รร.ตชด.สังกัด กก.ตชด.31 (รร.ตชด.พื้นที่ จ.เชียงใหม่-พิษณุโลก – อุตรดิตถ์) จำนวน 10 คน ณ โรงแรมอารย จ.อุตรดิตถ์ โดยได้แนะนำเทคนิคการสอน ภาษาอังกฤษ สำหรับ นร.ตชด.โดยเน้นการสนทนา และตั้งคำถามให้นักเรียนวิเคราะห์ ซึ่งจะส่งผลต่อการสอบโอเน็ต ซึ่งโจทย์ส่วนใหญ่ เป็นลักษณะการวิเคราะห์มากกว่า การท่องจำ.

      มทร.รัตนโกสินทร์ เข้าชมโครงการค่าย TF-SCALE 2024 ณ  สาธารณรัฐสิงคโปร์

      มทร.รัตนโกสินทร์ ประชุมหารือโครงการค่าย Temasek Foundation Specialists’ Community Action & Leadership Exchange Program 2024 (TF-SCALE 2024) ณ Nanyang Polytechnic สาธารณรัฐสิงคโปร์

      ในวันพฤหัสบดีที่ 14 มีนาคม 2567 มทร.รัตนโกสินทร์ นำโดย รศ.ดร.อุดมวิทย์ ไชยสกุลเกียรติ อธิการบดี มอบหมาย รศ.ดร.อาคีรา ราชเวียง รองอธิการบดี พร้อมด้วย ดร.ธัญนันท์ วรเศรษฐพงษ์ รักษาราชการแทนผู้อำนวยการกองกลาง เข้าเยี่ยมชมและหารือโครงการค่าย Temasek Foundation Specialists’ Community Action & Leadership Exchange Program 2024 (TF-SCALE 2024) ช่วงที่ 1 ระหว่างวันที่ 3 – 16 มีนาคม 2567 ณ Nanyang Polytechnic สาธารณรัฐสิงคโปร์

        ซึ่งระหว่างโครงการดำเนินการ นักศึกษาได้นำความรู้ที่ได้รับไปประยุกต์ใช้ต่อไป ผ่านทางกิจกรรมรูปแบบใหม่ ๆ กิจกรรมต่าง ๆ ภายในโครงการนี้ต่างออกแบบมาเพื่อเพิ่มพูนความรู้ความสามารถด้านการคิดสร้างสรรค์ การประดิษฐ์สิ่งใหม่ ๆ และทักษะความเป็นผู้นำ

        ทั้งนี้ Mr.Chai Kurk Heng, Director/ Student Care & Guidance Nanyang Polytechnic International และทีมผู้บริหารให้การต้อนรับ อีกทั้งหารือความร่วมมือระหว่าง 2 สถาบันหลังจากการทำ MOU ร่วมกัน เพื่อแลกเปลี่ยนทางด้านวิชาการตอบสนองนโยบายมุ่งสู่สากลต่อไป

      มทร.รัตนโกสินทร์ เข้าชมโครงการค่าย TF-SCALE 2024 ณ  สาธารณรัฐสิงคโปร์

      มทร.รัตนโกสินทร์ ประชุมหารือโครงการค่าย Temasek Foundation Specialists’ Community Action & Leadership Exchange Program 2024 (TF-SCALE 2024) ณ Nanyang Polytechnic สาธารณรัฐสิงคโปร์

      ในวันพฤหัสบดีที่ 14 มีนาคม 2567 มทร.รัตนโกสินทร์ นำโดย รศ.ดร.อุดมวิทย์ ไชยสกุลเกียรติ อธิการบดี มอบหมาย รศ.ดร.อาคีรา ราชเวียง รองอธิการบดี พร้อมด้วย ดร.ธัญนันท์ วรเศรษฐพงษ์ รักษาราชการแทนผู้อำนวยการกองกลาง เข้าเยี่ยมชมและหารือโครงการค่าย Temasek Foundation Specialists’ Community Action & Leadership Exchange Program 2024 (TF-SCALE 2024) ช่วงที่ 1 ระหว่างวันที่ 3 – 16 มีนาคม 2567 ณ Nanyang Polytechnic สาธารณรัฐสิงคโปร์

        ซึ่งระหว่างโครงการดำเนินการ นักศึกษาได้นำความรู้ที่ได้รับไปประยุกต์ใช้ต่อไป ผ่านทางกิจกรรมรูปแบบใหม่ ๆ กิจกรรมต่าง ๆ ภายในโครงการนี้ต่างออกแบบมาเพื่อเพิ่มพูนความรู้ความสามารถด้านการคิดสร้างสรรค์ การประดิษฐ์สิ่งใหม่ ๆ และทักษะความเป็นผู้นำ

        ทั้งนี้ Mr.Chai Kurk Heng, Director/ Student Care & Guidance Nanyang Polytechnic International และทีมผู้บริหารให้การต้อนรับ อีกทั้งหารือความร่วมมือระหว่าง 2 สถาบันหลังจากการทำ MOU ร่วมกัน เพื่อแลกเปลี่ยนทางด้านวิชาการตอบสนองนโยบายมุ่งสู่สากลต่อไป

      จังหวัดนครปฐม จัดพิธีมอบแบบลายผ้าพระราชทาน“ผ้าลายสิริวชิราภรณ์”

      จังหวัดนครปฐม จัดพิธีมอบแบบลายผ้าพระราชทาน “ผ้าลายสิริวชิราภรณ์” เพื่อต่อยอดผสมผสานมุมมองด้านแฟชั่นที่ร่วมสมัย ตลอดจนอนุรักษ์ ฟื้นฟู ศิลปวัฒนธรรม ภูมิปัญญาผ้าไทยและงานหัตถกรรม ให้ดำรงอยู่ยั่งยืนตลอดไป

      วันที่ 13 มีนาคม 2567 ที่ห้องประชุมสนามจันทร์ ชั้น 5 (ส่วนต่อขยาย) ศาลากลางจังหวัดนครปฐม นายสุรศักดิ์ เจริญศิริโชติ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม ถวายความเคารพ เปิดกรวยกระทงดอกไม้ธูปเทียนแพ และกล่าวสำนึกในพระกรุณาธิคุณ เบื้องหน้าพระรูป สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ที่ทรงพระราชทาน “ผ้าลายสิริวชิราภรณ์” แก่ช่างทอผ้าทุกกลุ่ม ทุกเทคนิค เยาวชน คนรุ่นใหม่และประชาชนคนไทยทุกคน โดยมี นางสาวอโรชา นันทมนตรี รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม นางวราภรณ์ เจริญศิริโชติ นายกเหล่ากาชาดจังหวัดนครปฐม ในฐานะประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัด พร้อมด้วยนายอำเภอทั้ง 7 อำเภอ หัวหน้าส่วนราชการ ผู้แทนสถาบันการศึกษา กลุ่มทอผ้า และกลุ่มงานหัตถกรรม เข้าร่วมพิธีในครั้งนี้


      นับเป็นพระกรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ โดยเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2566 สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา เสด็จเป็นองค์ประธานเปิดโครงการ Silk Festival 2023 สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี พระราชทานเครื่องหมายรับรองสินค้าแฟชั่นและหัตถกรรมพระราชทาน “Sustainable Fashion : แฟชั่นแห่งความยั่งยืน” แก่ช่างทอผ้า ช่างหัตถกรรม ผู้ผลิต และผู้ประกอบการที่สร้างสรรค์ผืนผ้าและหัตถกรรม ด้วยขั้นตอนที่เป็นมิตร ต่อสิ่งแวดล้อม ปลอดภัยต่อผู้สร้างสรรค์และผู้สวมใส่ ซึ่งเป็นการรับรองคุณภาพของผลิตภัณฑ์ที่ได้รับมาตรฐานสากล


      และเมื่อวันที่ 24 มกราคม 2567 เสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรนิทรรศการผ้าไทยและงานหัตถกรรมชุมชนภาคใต้ ณ แหล่งสมาคมนายทหารสัญญาบัตร กองบัญชาการกองพลทหารราบที่ 15 ค่ายสมเด็จพระสุริโยทัย อำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี พระราชทานแบบลายผ้า “ผ้าลายชบาปัตตานี” เพื่อเป็นของขวัญแก่ช่างทอผ้า ช่างหัตถกรรม ผู้ผลิต ผู้ประกอบการชาวจังหวัดปัตตานี เพื่อสร้างอัตลักษณ์ สืบสานและต่อยอดภูมิปัญญาและงานหัตถศิลป์พื้นถิ่น ให้ดำรงคงอยู่คู่แผ่นดินไทย


      และวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2567 ที่ผ่านมา เสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรนิทรรศการผ้าไทยและงานหัตถกรรมชุมชนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ณ หอประชุมไพรพะยอม มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี อำเภอเมืองอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี จากนั้น เสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรนิทรรศการผ้าทอแบบโบราณ ณ บ้านคำปุน ตำบลคำน้ำแซบ อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี พระราชทานแบบลายผ้า “ผ้าลายสิริวชิราภรณ์” ซึ่งเป็นลายที่ได้ทรงศึกษาค้นคว้าลวดลายผืนผ้าจากทุกภูมิภาคทั่วประเทศ และทรงนำมาออกแบบลายพระราชทานเนื่องในปีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ครบ 6 รอบ 72 พรรษา โดยพระราชทานแบบตั้งต้นไว้ 4 ประเภท ได้แก่ ประเภทผ้ากาบบัวประเภทผ้ายก, จก, ขิด, แพรวา, ประเภทผ้ามัดหมี่ และประเภทผ้าบาติก ซึ่งสามารถนำลายพระราชทานหลัก ทั้ง 4 ประเภทนี้ ไปถักทอผสมผสานกับลวดลายภูมิปัญญาพื้นถิ่นตามความคิดสร้างสรรค์ ต่อไป


      สำหรับจังหวัดนครปฐม ได้ดำเนินการขับเคลื่อนและขยายผลโครงการตามแนวพระดำริ “ผ้าไทยใส่ให้สนุก” ไปยังกลุ่มทอผ้า กลุ่มงานหัตถกรรม ต่าง ๆ เช่น งานเซรามิค งานเบญจรงค์ และงานหัตถกรรมอื่น ๆ เพื่อสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ที่มั่นคง ยังผลให้ช่างทอผ้า ช่างหัตถกรรม ผู้ผลิต ผู้ประกอบการมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ด้วยสำนึกในพระกรุณาธิคุณ ที่ทรงมีต่อเหล่าปวงชนชาวไทย โดยน้อมนำแนวพระดำริในการเพิ่มคุณค่า และมูลค่าผลิตภัณฑ์ผ้าไทยให้สามารถก้าวสู่ระดับสากล เพื่อวิถีชุมชนที่ยั่งยืน อันเป็นพลังที่จะสืบสานความเป็นไทย และสร้างสรรค์คุณประโยชน์แก่ประเทศชาติสืบไป


      สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดนครปฐม ภาพข่าว

      สโมสรโรตารี มอบเครื่องมือแพทย์ มูลค่า 3,165,500 ให้โรงพยาบาลสามพราน  จังหวัดนครปฐม

      สโมสรโรตารีมอบเครื่องมือแพทย์ มูลค่า 3,165,500 บาท และจัดอบรมให้ความรู้

      เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2567 ที่ห้องประชุมชั้น4อาคารบริการโรงพยาบาลสามพราน อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม
        สโมสรโรตารีสมุทรปราการ สโมสรโรทาแรคท์ชุมชนสนามจันทร์ สภาอุตสาหกรรมจังหวัดนครปฐม สโมสรโรตารีจากประเทศเกาหลี ร่วมมอบเครื่องมือแพทย์ให้โรงพยาบาลสามพราน มูลค่า 3,165,500 บาท และจัดอบรมให้ความรู้แก่ อาสาสมัครสาธารณสุข(อสม.) และบุคลากรในเครือข่าย


        โดยการนำของ นายวิชัย มณีวัชรเกียรติ อดีตผู้ว่าการภาค3330 นางสาวพิชยา ขวัญนิพนธ์ นายกสโมสรโรตารีสมุทรปราการ Mr. Du Hyun Yun นายกสโมสรโรตารีดองดูชอน ประเทศเกาหลี นายรุ่งวิทย์ เติมพิทยาเวช ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดนครปฐม น.ส.กมลลักษณ์ พัฒนธีรนันท์ นายกสโมสรโรทาแรคท์ชุมชนสนามจันทร์และคณะสมาชิกสโมสรโรตารี


      โดยมี นพ.ทินกร ชื่นชม ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสามพราน กล่าวต้อนรับ ร่วมด้วย บุคลากรเครือข่ายโรงพยาบาลสามพราน อาสาสมัครสาธารณสุข(อสม.)และบุคลากรเครือข่ายโรงพยาบาลสามพรานเข้าร่วมอบรมมะเร็งลำไส้ใหญ่เครือข่ายโรงพยาบาลสามพรานประจำปี 2567 จำนวน 100 คน


        โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ยังเป็นปัญหาสาธารณสุขของประเทศไทยและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการป้องกันและการค้นพบโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ในระยะเริ่มต้น สามารถรักษาให้หายขาดได้ ซึ่งปัจจุบันโรงพยาบาลสามพรานสามารถให้บริการรักษาโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ด้วยวิธีการผ่าตัดจากศัลยแพทย์ จำนวน 3 คน มาตั้งแต่เดือน ตุลาคม พ.ศ. 2564 ทำให้ประชาชนในพื้นที่อำเภอสามพรานได้รับการรักษาใกล้บ้าน สามารถลดความแออัดและลดอัตราการรอคอยการรักษาที่โรงพยาบาลสามพรานลงได้

         สโมสรโรตารีสมุทรปราการ สโมสรโรทาแรคท์ชุมชนสนามจันทร์ สภาอุตสาหกรรมจังหวัดนครปฐม สโมสรโรตารีประเทศเกาหลี และโรงพยาบาลสามพราน จึงได้ร่วมกันจัดโครงการเพิ่มศักยภาพการป้องกันและบำบัดมะเร็งลำไส้ใหญ่เครือข่ายโรงพยาบาลสามพรานประจำปี 2567 ขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มพูนความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับวิธีการป้องกัน เพื่อลดอัตราการเสียชีวิต จึงดำเนินการคัดกรองโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ในประชาชนที่มีอายุ 50-70 ปี โดยการคัดกรองเบื้องต้นด้วยวิธีการตรวจหาเม็ดเลือดแดงแฝงในอุจจาระ (Fecal Immunochemical Test : FIT) และในกรณีที่ผลการตรวจ Positive จะส่งตรวจยืนยันด้วยวิธีการส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่(Colonoscopy) กับศัลยแพทย์ในโรงพยาบาลสามพรานต่อไป

      ขอบคุณภาพข่าว พัชรี เกษมบุญนาค รพ.สามพราน

      อบจ.นครปฐม ปิดมอเตอร์เวย์จัด King Of Motorway Nakhonpathom M81 รวมนักปั่นกว่า3,000 เข้าร่วมสร้างประวัติศาสตร์

      อบจ.นครปฐม ปิดมอเตอร์เวย์จัด King Of Motorway Nakhonpathom M81 รวมนักปั่นกว่า 3,000 เข้าร่วมสร้างประวัติศาสตร์

      นายจิรวัฒน์ สะสมทรัพย์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครปฐม

        เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2567 ที่องค์การบริหารส่วนจังหวัดนครปฐม นายจิรวัฒน์ สะสมทรัพย์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครปฐม นายสหพันธ์ ปฐมวัฒนานุรักษ์ นายกสมาคมจักรยานนครปฐม นายคิว อรุโณรส นายกสมาคมกีฬาจักรยานปทุมธานี ร่วมกันแถลงข่าวการจัดงานปั่นจักรยานใจเกินร้อยมอเตอร์เวย์ M81 บางใหญ่ – กาญจนบุรี รายการเมืองเจดีย์ใหญ่ มอเตอร์เวย์ ครั้งที่1
      รุ่นระยะทาง 100 กม. รุ่นระยะทาง 50 กม. รุ่นวีไอพี 24 กม. และ Team time trial ในวันอาทิตย์ที่ 31 มีนาคม 2567 นี้

        นายจิรวัฒน์ สะสมทรัพย์ กล่าวว่า การจัดงานปั่นจักรยานใจเกินร้อยมอเตอร์เวย์ M81 บางใหญ่ – กาญจนบุรี ครั้งถือว่าเป็นสนามประวัติศาสตร์ของนักปั่น ที่จะได้ขึ้นมาใช้เส้นทางมอเตอร์เวย์ M81 บางใหญ่-กาญจนบุรี

      ในส่วนของจังหวัดนครปฐม-กาญจนบุรี ซึ่งเป็นตอนที่ถนนสายนี้สร้างเสร็จแล้ว และกรมทางหลวง ได้อนุญาตให้ใช้บนทางหลวงพิเศษ สาย อ.บางใหญ่-กาญจนบุรี (สายM81) ช่วงด่านเก็บเงินฝั่งตะวันตก ทางหลวงหมายเลข 321 (ถนนมาลัยแมน) นครปฐม ถึงด่านเก็บเงินทางหลวงหมายเลข 324 อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี ไปกลับรวมระยะทาง 100 กม. ในการแข่งขันแบบปิด นอกจากการแข่งขันปั่นจักรยาน และยังเป็นการประชาสัมพันธ์จังหวัดด้านการท่องเที่ยว ซึ่งจะมีนักปั่นกว่า 3,000 คน/คัน มาร่วม และขณะนี้ทราบว่าที่พัก โรงแรมส่วนใหญ่เต็มหมดแล้ว และเรื่องของอาหารการกิน ร้านค้าจะได้รับอานิสงส์ไปด้วย และฝากถึงพี่น้องชาวนครปฐม ร่วมกันเป็นเจ้าบ้านที่ดี ต้อนรับแขกผู้มาเยือน นักปั่นด้วยรอยยิ้ม และช่วยกันรักษาความสะอาด และขณะนี้ที่พัก โรงแรม 15 แห่งใกล้สนามแข่งถูกจองเต็มหมดแล้ว

      ด้านนายสหพันธ์ ปฐมวัฒนานุรักษ์ กล่าวว่า สมาคมจักรยานนครปฐมร่วมกับสมาคมกีฬาจักรยานปทุมธานีได้จัดทำโครงการเมืองเจดีย์ใหญ่มอเตอร์เวย์ครั้งที่หนึ่ง จัดขึ้นเพื่อรณรงค์ชักชวนให้ประชาชนเสริมสร้างสุขภาพให้แข็งแรงโดยการปั่นจักรยานส่งเสริมการท่องเที่ยวตอนนี้มุ่งหวังที่จะกระตุ้นเตือนทุกฝ่ายทั้งภาครัฐและเอกชนให้หันมาให้ความสนใจมาออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ ที่แข็งแรงและมีสุขภาพที่ดีลดความเสี่ยงการเกิดโรคในกลุ่ม NCDs โดยเป้าหมายปั่น 3000 คนมาร่วมบันทึกประวัติศาสตร์การแข่งขันจักรยานแบบปิดบนถนนมอเตอร์เวย์ สาย บางใหญ่-กาญจนบุรี (M81) นี้ เพราะเมื่อถนนสายนี้สร้างแล้วเสร็จสมบูรณ์ และเปิดให้ใช้ รถจักรยานจะไม่สามารถเข้าไปปั่นได้อย่าเด็ดขาด

      ด้านนายคิว อรุโณรส กล่าวว่า สมาคมกีฬาจักรยานปทุมธานี ได้ร่วมจัดกิจกรรมนี้ขึ้นเพื่อสร้างประวัติศาสตร์วงการจักรยาน ที่จะได้ทำการแข่งขันแบบปิดบนทางหลวงพิเศษ ซึ่งมีไม่บ่อยหนัก ในประเทศไทย และการแข่งขันนี้จะมีการเก็บบันทึกสถิติ time trial และเป็นเกียรติประวัติแก่นักปั่นทุกคนที่สมัครเข้าทำการแข่งขัน ซึ่งคาดว่าน่าจะเกิน 3,000 คน/คัน จากนักปั่นทั่วประเทศ

      วางศิลาฤกษ์ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล นครปฐม แลนด์มาร์คใหม่ใหญ่สุดในนครปฐม

      “เซ็นทรัลพัฒนา” จัดพิธีวางศิลาฤกษ์ “ศูนย์การค้าเซ็นทรัล นครปฐม”
      มิกซ์ยูสแลนด์มาร์คใหม่ในนครปฐม พร้อมเปิดให้บริการ 30 มีนาคม 2567


         คณุวัลยา จิราธิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นทรัลพัฒนาจำกัด (มหาชน) พร้อมด้วย
      ผู้บริหารระดับสูง คุณมุกดา จิราธิวัฒน์ เอื้อวัฒนะสกุล กรรมการ บริษัท เซ็นทรัลหัวหินบีชรีสอร์ท
      จำกัด และ คุณรัตนา จิราธิวัฒน์ นรพัลลภ กรรมการ บริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด

         ได้ร่วมกันจัดพิธีวางศิลาฤกษ์ “ศูนย์การค้าเซ็นทรัล นครปฐม” โครงการมิกซ์ยูสแลนด์มาร์กใหม่ใจกลางนครปฐม ศูนย์กลางการใช้ชีวิตแห่งใหม่ ประกอบด้วย ศูนย์การค้า, โรงแรม, คอนโด, บ้านจัดสรร และ Urban Park ใหญ่ 4 ไร่

      ตอบโจทย์ Multi-Generation ด้วยดีไซน์ลำสมัยสะท้อนความภูมิใจของไอคอนนิกแลนด์มาร์ค อัตลักษณ์ของนครปฐมได้อย่างมีเสน่ห์ พร้อมการผสมผสานวิถีชีวิตของชุมชนริมน้ำไว้อย่างสวยงาม

         โดยมีคุณอิศเรศ จิราธิวัฒน์, คุณจุฑาธรรม จิราธิวัฒน์, คุณอครินทร์ ภูรีสิทธิ์ คุณวุฒิเกียรติ เตชะมงคลาภิวัฒน์และ คุณรุจิเรศ นีรปัทมะร่วมพิธี ณ โครงการเซ็นทรัล นครปฐม เซ็นทรัล นครปฐม เป็นศูนย์การค้าลำดับที่ 42 ของเซ็นทรัลพัฒนา ปฐมบทใหม่ของความสุขบนทำเลศักยภาพ ที่พร้อมตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของชาวนครปฐมและพื้นที่ใกล้เคียง ด้วยไลฟ์สไตล์ 500 แบรนด์ ทุกหมวดหมู่ที่ตอบทุกความต้องการของนักช้อปทุกเจนเนอเรชั่น รวม
      ความสุข ถูกใจสายแฟชั่น สายบิวตี้ สายกิน สายหวาน สายแกดเจ็ต-ไอที สายฟิต สายบันเทิง และทุกคนในครอบครัว พร้อมด้วยธุรกิจในกลุ่มเซ็นทรัล

        อาทิ Central Department Store, Tops,
      Power Buy, B2S, Supersports, OfficeMate และ Auto1 พร้อมให้ทุกคนมาเปิดประสบการณ์
      ใหม่แห่งการช้อป กิน เที่ยว ไว้ในที่เดียว พร้อมเปิดในวันที่ 30 มีนาคม 2567

      สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่

      แผนกประชาสัมพันธ์ บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน)
      คุณอั้มมี่ โทร. 081-928-7702 Email: hatatthep@centralpattana.co.th

      คุณมีมี่ โทร.082-426-3914 Email: maninasreen@centralpattana.co.th

      วางศิลาฤกษ์ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล นครปฐม แลนด์มาร์คใหม่ใหญ่สุดในนครปฐม

      “เซ็นทรัลพัฒนา” จัดพิธีวางศิลาฤกษ์ “ศูนย์การค้าเซ็นทรัล นครปฐม”
      มิกซ์ยูสแลนด์มาร์คใหม่ในนครปฐม พร้อมเปิดให้บริการ 30 มีนาคม 2567


         คณุวัลยา จิราธิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นทรัลพัฒนาจำกัด (มหาชน) พร้อมด้วย
      ผู้บริหารระดับสูง คุณมุกดา จิราธิวัฒน์ เอื้อวัฒนะสกุล กรรมการ บริษัท เซ็นทรัลหัวหินบีชรีสอร์ท
      จำกัด และ คุณรัตนา จิราธิวัฒน์ นรพัลลภ กรรมการ บริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด

         ได้ร่วมกันจัดพิธีวางศิลาฤกษ์ “ศูนย์การค้าเซ็นทรัล นครปฐม” โครงการมิกซ์ยูสแลนด์มาร์กใหม่ใจกลางนครปฐม ศูนย์กลางการใช้ชีวิตแห่งใหม่ ประกอบด้วย ศูนย์การค้า, โรงแรม, คอนโด, บ้านจัดสรร และ Urban Park ใหญ่ 4 ไร่

      ตอบโจทย์ Multi-Generation ด้วยดีไซน์ลำสมัยสะท้อนความภูมิใจของไอคอนนิกแลนด์มาร์ค อัตลักษณ์ของนครปฐมได้อย่างมีเสน่ห์ พร้อมการผสมผสานวิถีชีวิตของชุมชนริมน้ำไว้อย่างสวยงาม

         โดยมีคุณอิศเรศ จิราธิวัฒน์, คุณจุฑาธรรม จิราธิวัฒน์, คุณอครินทร์ ภูรีสิทธิ์ คุณวุฒิเกียรติ เตชะมงคลาภิวัฒน์และ คุณรุจิเรศ นีรปัทมะร่วมพิธี ณ โครงการเซ็นทรัล นครปฐม เซ็นทรัล นครปฐม เป็นศูนย์การค้าลำดับที่ 42 ของเซ็นทรัลพัฒนา ปฐมบทใหม่ของความสุขบนทำเลศักยภาพ ที่พร้อมตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของชาวนครปฐมและพื้นที่ใกล้เคียง ด้วยไลฟ์สไตล์ 500 แบรนด์ ทุกหมวดหมู่ที่ตอบทุกความต้องการของนักช้อปทุกเจนเนอเรชั่น รวม
      ความสุข ถูกใจสายแฟชั่น สายบิวตี้ สายกิน สายหวาน สายแกดเจ็ต-ไอที สายฟิต สายบันเทิง และทุกคนในครอบครัว พร้อมด้วยธุรกิจในกลุ่มเซ็นทรัล

        อาทิ Central Department Store, Tops,
      Power Buy, B2S, Supersports, OfficeMate และ Auto1 พร้อมให้ทุกคนมาเปิดประสบการณ์
      ใหม่แห่งการช้อป กิน เที่ยว ไว้ในที่เดียว พร้อมเปิดในวันที่ 30 มีนาคม 2567

      สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่

      แผนกประชาสัมพันธ์ บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน)
      คุณอั้มมี่ โทร. 081-928-7702 Email: hatatthep@centralpattana.co.th

      คุณมีมี่ โทร.082-426-3914 Email: maninasreen@centralpattana.co.th

      วางศิลาฤกษ์ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล นครปฐม แลนด์มาร์กใหม่ใหญ่สุดในนครปฐม

      “เซ็นทรัลพัฒนา” จัดพิธีวางศิลาฤกษ์ “ศูนย์การค้าเซ็นทรัล นครปฐม”
      มิกซ์ยูสแลนด์มาร์กใหม่ในนครปฐม พร้อมเปิดให้บริการ 30 มีนาคม 2567


         คณุวัลยา จิราธิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นทรัลพัฒนาจำกัด (มหาชน) พร้อมด้วย
      ผู้บริหารระดับสูง คุณมุกดา จิราธิวัฒน์ เอื้อวัฒนะสกุล กรรมการ บริษัท เซ็นทรัลหัวหินบีชรีสอร์ท
      จำกัด และ คุณรัตนา จิราธิวัฒน์ นรพัลลภ กรรมการ บริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด

         ได้ร่วมกันจัดพิธีวางศิลาฤกษ์ “ศูนย์การค้าเซ็นทรัล นครปฐม” โครงการมิกซ์ยูสแลนด์มาร์กใหม่ใจกลางนครปฐม ศูนย์กลางการใช้ชีวิตแห่งใหม่ ประกอบด้วย ศูนย์การค้า, โรงแรม, คอนโด, บ้านจัดสรร และ Urban Park ใหญ่ 4 ไร่

      ตอบโจทย์ Multi-Generation ด้วยดีไซน์ลำสมัยสะท้อนความภูมิใจของไอคอนนิกแลนด์มาร์ก อัตลักษณ์ของนครปฐมได้อย่างมีเสน่ห์ พร้อมการผสมผสานวิถีชีวิตของชุมชนริมน้ำไว้อย่างสวยงาม

         โดยมีคุณอิศเรศ จิราธิวัฒน์, คุณจุฑาธรรม จิราธิวัฒน์, คุณอครินทร์ ภูรีสิทธิ์ คุณวุฒิเกียรติ เตชะมงคลาภิวัฒน์และ คุณรุจิเรศ นีรปัทมะร่วมพิธี ณ โครงการเซ็นทรัล นครปฐม เซ็นทรัล นครปฐม เป็นศูนย์การค้าลำดับที่ 42 ของเซ็นทรัลพัฒนา ปฐมบทใหม่ของความสุขบนทำเลศักยภาพ ที่พร้อมตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของชาวนครปฐมและพื้นที่ใกล้เคียง ด้วยไลฟ์สไตล์ 500 แบรนด์ ทุกหมวดหมู่ที่ตอบทุกความต้องการของนักช้อปทุกเจนเนอเรชั่น รวม
      ความสุข ถูกใจสายแฟชั่น สายบิวตี้ สายกิน สายหวาน สายแกดเจ็ต-ไอที สายฟิต สายบันเทิง และทุกคนในครอบครัว พร้อมด้วยธุรกิจในกลุ่มเซ็นทรัล

        อาทิ Central Department Store, Tops,
      Power Buy, B2S, Supersports, OfficeMate และ Auto1 พร้อมให้ทุกคนมาเปิดประสบการณ์
      ใหม่แห่งการช้อป กิน เที่ยว ไว้ในที่เดียว พร้อมเปิดในวันที่ 30 มีนาคม 2567

      สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่

      แผนกประชาสัมพันธ์ บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน)
      คุณอั้มมี่ โทร. 081-928-7702 Email: hatatthep@centralpattana.co.th

      คุณมีมี่ โทร.082-426-3914 Email: maninasreen@centralpattana.co.th

      วางศิลาฤกษ์ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล นครปฐม แลนด์มาร์กใหม่ใหญ่สุดในนครปฐม

      “เซ็นทรัลพัฒนา” จัดพิธีวางศิลาฤกษ์ “ศูนย์การค้าเซ็นทรัล นครปฐม”
      มิกซ์ยูสแลนด์มาร์กใหม่ในนครปฐม พร้อมเปิดให้บริการ 30 มีนาคม 2567


         คณุวัลยา จิราธิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นทรัลพัฒนาจำกัด (มหาชน) พร้อมด้วย
      ผู้บริหารระดับสูง คุณมุกดา จิราธิวัฒน์ เอื้อวัฒนะสกุล กรรมการ บริษัท เซ็นทรัลหัวหินบีชรีสอร์ท
      จำกัด และ คุณรัตนา จิราธิวัฒน์ นรพัลลภ กรรมการ บริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด

         ได้ร่วมกันจัดพิธีวางศิลาฤกษ์ “ศูนย์การค้าเซ็นทรัล นครปฐม” โครงการมิกซ์ยูสแลนด์มาร์กใหม่ใจกลางนครปฐม ศูนย์กลางการใช้ชีวิตแห่งใหม่ ประกอบด้วย ศูนย์การค้า, โรงแรม, คอนโด, บ้านจัดสรร และ Urban Park ใหญ่ 4 ไร่

      ตอบโจทย์ Multi-Generation ด้วยดีไซน์ลำสมัยสะท้อนความภูมิใจของไอคอนนิกแลนด์มาร์ก อัตลักษณ์ของนครปฐมได้อย่างมีเสน่ห์ พร้อมการผสมผสานวิถีชีวิตของชุมชนริมน้ำไว้อย่างสวยงาม

         โดยมีคุณอิศเรศ จิราธิวัฒน์, คุณจุฑาธรรม จิราธิวัฒน์, คุณอครินทร์ ภูรีสิทธิ์ คุณวุฒิเกียรติ เตชะมงคลาภิวัฒน์และ คุณรุจิเรศ นีรปัทมะร่วมพิธี ณ โครงการเซ็นทรัล นครปฐม เซ็นทรัล นครปฐม เป็นศูนย์การค้าลำดับที่ 42 ของเซ็นทรัลพัฒนา ปฐมบทใหม่ของความสุขบนทำเลศักยภาพ ที่พร้อมตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของชาวนครปฐมและพื้นที่ใกล้เคียง ด้วยไลฟ์สไตล์ 500 แบรนด์ ทุกหมวดหมู่ที่ตอบทุกความต้องการของนักช้อปทุกเจนเนอเรชั่น รวม
      ความสุข ถูกใจสายแฟชั่น สายบิวตี้ สายกิน สายหวาน สายแกดเจ็ต-ไอที สายฟิต สายบันเทิง และทุกคนในครอบครัว พร้อมด้วยธุรกิจในกลุ่มเซ็นทรัล

        อาทิ Central Department Store, Tops,
      Power Buy, B2S, Supersports, OfficeMate และ Auto1 พร้อมให้ทุกคนมาเปิดประสบการณ์
      ใหม่แห่งการช้อป กิน เที่ยว ไว้ในที่เดียว พร้อมเปิดในวันที่ 30 มีนาคม 2567

      สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่

      แผนกประชาสัมพันธ์ บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน)
      คุณอั้มมี่ โทร. 081-928-7702 Email: hatatthep@centralpattana.co.th

      คุณมีมี่ โทร.082-426-3914 Email: maninasreen@centralpattana.co.th

      สนง.ประชาสัมพันธ์ จ.นครปฐม จัดสัมมนาเครือข่าย “สื่อสร้างสรรค์ สร้างการรับรู้ ร่วมพัฒนาจังหวัดนครปฐม”

      จังหวัดนครปฐม โดยสำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดนครปฐม จัดสัมมนาเครือข่าย “สื่อสร้างสรรค์ สร้างการรับรู้ ร่วมพัฒนาจังหวัดนครปฐม เพื่อเปิดโอกาสให้สื่อมวลชนร่วมแสดงความคิดเห็น/ข้อเสนอแนะ เพื่อกระชับความสัมพันธ์และการติดต่อประสานงานต่อไป

      นางสาวอโรชา  นันทมนตรี รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม
      นางพัชรี  เรือนอินทร์ ประชาสัมพันธ์จังหวัดนครปฐม

        เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2567 ที่ห้องศรีสง่า โรงแรมริเวอร์ อำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม นางสาวอโรชา  นันทมนตรี รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม เป็นประธานเปิดการสัมมนาเครือข่าย “สื่อสร้างสรรค์ สร้างการรับรู้ ร่วมพัฒนาจังหวัดนครปฐม”

      โดยมี หัวหน้าส่วนราชการ และเครือข่ายสื่อมวลชนในจังหวัดนครปฐม  จำนวน 100 คน เข้าร่วมสัมมนาในครั้งนี้
      นางพัชรี  เรือนอินทร์ ประชาสัมพันธ์จังหวัดนครปฐม กล่าวว่า การสัมมนา ประกอบด้วยการบรรยายพิเศษ “สื่อมวลชนสร้างสรรค์ ร่วมกันพัฒนาจังหวัดนครปฐม”

      โดยรองผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม (นางสาวอโรชา  นันทมนตรี) การบรรยายให้ความรู้ก้าวทันโลกออนไลน์ “จริงหรือมั่ว ตรวจสอบให้ชัวร์ ก่อนแชร์” โดยทีม 1212 ETDA : สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เวที “หน่วยงานแจ้งข่าว สื่อมวลชนกระจายข่าว” โดยหัวหน้าส่วนราชการในจังหวัดนครปฐม แจ้งการดำเนินงานเป็นเรื่องที่ประชาชนอยากรู้ ควรรู้และต้องรู้ เพื่อขอความร่วมมือสื่อมวลชนนำไปเผยแพร่สู่ประชาชนต่อไป 

      ชมคลิป.https://drive.google.com/file/d/1S-O52GfJcMlaiX-6BuxLUwZXWV8AUmVM/view?usp=drivesdk


      สนง.ประชาสัมพันธ์จังหวัดนครปฐม – ภาพ/ข่าว

      Key 8 news รายงาน
      ข่าวเด็ดนครปฐมนิวส์ สนับสนุน

      สนง.ประชาสัมพันธ์ จ.นครปฐม จัดสัมมนาเครือข่าย “สื่อสร้างสรรค์ สร้างการรับรู้ ร่วมพัฒนาจังหวัดนครปฐม”

      จังหวัดนครปฐม โดยสำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดนครปฐม จัดสัมมนาเครือข่าย “สื่อสร้างสรรค์ สร้างการรับรู้ ร่วมพัฒนาจังหวัดนครปฐม เพื่อเปิดโอกาสให้สื่อมวลชนร่วมแสดงความคิดเห็น/ข้อเสนอแนะ เพื่อกระชับความสัมพันธ์และการติดต่อประสานงานต่อไป

      นางสาวอโรชา  นันทมนตรี รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม
      นางพัชรี  เรือนอินทร์ ประชาสัมพันธ์จังหวัดนครปฐม

        เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2567 ที่ห้องศรีสง่า โรงแรมริเวอร์ อำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม นางสาวอโรชา  นันทมนตรี รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม เป็นประธานเปิดการสัมมนาเครือข่าย “สื่อสร้างสรรค์ สร้างการรับรู้ ร่วมพัฒนาจังหวัดนครปฐม”

      โดยมี หัวหน้าส่วนราชการ และเครือข่ายสื่อมวลชนในจังหวัดนครปฐม  จำนวน 100 คน เข้าร่วมสัมมนาในครั้งนี้
      นางพัชรี  เรือนอินทร์ ประชาสัมพันธ์จังหวัดนครปฐม กล่าวว่า การสัมมนา ประกอบด้วยการบรรยายพิเศษ “สื่อมวลชนสร้างสรรค์ ร่วมกันพัฒนาจังหวัดนครปฐม”

      โดยรองผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม (นางสาวอโรชา  นันทมนตรี) การบรรยายให้ความรู้ก้าวทันโลกออนไลน์ “จริงหรือมั่ว ตรวจสอบให้ชัวร์ ก่อนแชร์” โดยทีม 1212 ETDA : สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เวที “หน่วยงานแจ้งข่าว สื่อมวลชนกระจายข่าว” โดยหัวหน้าส่วนราชการในจังหวัดนครปฐม แจ้งการดำเนินงานเป็นเรื่องที่ประชาชนอยากรู้ ควรรู้และต้องรู้ เพื่อขอความร่วมมือสื่อมวลชนนำไปเผยแพร่สู่ประชาชนต่อไป 

      ชมคลิป.https://drive.google.com/file/d/1S-O52GfJcMlaiX-6BuxLUwZXWV8AUmVM/view?usp=drivesdk


      สนง.ประชาสัมพันธ์จังหวัดนครปฐม – ภาพ/ข่าว

      Key 8 news รายงาน
      ข่าวเด็ดนครปฐมนิวส์ สนับสนุน

      สนง.ประชาสัมพันธ์ จ.นครปฐม จัดสัมมนาเครือข่าย “สื่อสร้างสรรค์ สร้างการรับรู้ ร่วมพัฒนาจังหวัดนครปฐม”

      จังหวัดนครปฐม โดยสำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดนครปฐม จัดสัมมนาเครือข่าย “สื่อสร้างสรรค์ สร้างการรับรู้ ร่วมพัฒนาจังหวัดนครปฐม เพื่อเปิดโอกาสให้สื่อมวลชนร่วมแสดงความคิดเห็น/ข้อเสนอแนะ เพื่อกระชับความสัมพันธ์และการติดต่อประสานงานต่อไป

      นางสาวอโรชา  นันทมนตรี รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม
      นางพัชรี  เรือนอินทร์ ประชาสัมพันธ์จังหวัดนครปฐม

        เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2567 ที่ห้องศรีสง่า โรงแรมริเวอร์ อำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม นางสาวอโรชา  นันทมนตรี รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม เป็นประธานเปิดการสัมมนาเครือข่าย “สื่อสร้างสรรค์ สร้างการรับรู้ ร่วมพัฒนาจังหวัดนครปฐม”

      โดยมี หัวหน้าส่วนราชการ และเครือข่ายสื่อมวลชนในจังหวัดนครปฐม  จำนวน 100 คน เข้าร่วมสัมมนาในครั้งนี้
      นางพัชรี  เรือนอินทร์ ประชาสัมพันธ์จังหวัดนครปฐม กล่าวว่า การสัมมนา ประกอบด้วยการบรรยายพิเศษ “สื่อมวลชนสร้างสรรค์ ร่วมกันพัฒนาจังหวัดนครปฐม”

      โดยรองผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม (นางสาวอโรชา  นันทมนตรี) การบรรยายให้ความรู้ก้าวทันโลกออนไลน์ “จริงหรือมั่ว ตรวจสอบให้ชัวร์ ก่อนแชร์” โดยทีม 1212 ETDA : สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เวที “หน่วยงานแจ้งข่าว สื่อมวลชนกระจายข่าว” โดยหัวหน้าส่วนราชการในจังหวัดนครปฐม แจ้งการดำเนินงานเป็นเรื่องที่ประชาชนอยากรู้ ควรรู้และต้องรู้ เพื่อขอความร่วมมือสื่อมวลชนนำไปเผยแพร่สู่ประชาชนต่อไป 

      ชมคลิป.https://drive.google.com/file/d/1S-O52GfJcMlaiX-6BuxLUwZXWV8AUmVM/view?usp=drivesdk


      สนง.ประชาสัมพันธ์จังหวัดนครปฐม – ภาพ/ข่าว

      Key 8 news รายงาน
      ข่าวเด็ดนครปฐมนิวส์ สนับสนุน

      สนง.ประชาสัมพันธ์ จ.นครปฐม จัดสัมมนาเครือข่าย “สื่อสร้างสรรค์ สร้างการรับรู้ ร่วมพัฒนาจังหวัดนครปฐม”

      จังหวัดนครปฐม โดยสำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดนครปฐม จัดสัมมนาเครือข่าย “สื่อสร้างสรรค์ สร้างการรับรู้ ร่วมพัฒนาจังหวัดนครปฐม เพื่อเปิดโอกาสให้สื่อมวลชนร่วมแสดงความคิดเห็น/ข้อเสนอแนะ เพื่อกระชับความสัมพันธ์และการติดต่อประสานงานต่อไป

        เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2567 ที่ห้องศรีสง่า โรงแรมริเวอร์ อำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม นางสาวอโรชา  นันทมนตรี รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม เป็นประธานเปิดการสัมมนาเครือข่าย “สื่อสร้างสรรค์ สร้างการรับรู้ ร่วมพัฒนาจังหวัดนครปฐม”

      โดยมี หัวหน้าส่วนราชการ และเครือข่ายสื่อมวลชนในจังหวัดนครปฐม  จำนวน 100 คน เข้าร่วมสัมมนาในครั้งนี้
      นางพัชรี  เรือนอินทร์ ประชาสัมพันธ์จังหวัดนครปฐม กล่าวว่า การสัมมนา ประกอบด้วยการบรรยายพิเศษ “สื่อมวลชนสร้างสรรค์ ร่วมกันพัฒนาจังหวัดนครปฐม”

      โดยรองผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม (นางสาวอโรชา  นันทมนตรี) การบรรยายให้ความรู้ก้าวทันโลกออนไลน์ “จริงหรือมั่ว ตรวจสอบให้ชัวร์ ก่อนแชร์” โดยทีม 1212 ETDA : สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เวที “หน่วยงานแจ้งข่าว สื่อมวลชนกระจายข่าว” โดยหัวหน้าส่วนราชการในจังหวัดนครปฐม แจ้งการดำเนินงานเป็นเรื่องที่ประชาชนอยากรู้ ควรรู้และต้องรู้ เพื่อขอความร่วมมือสื่อมวลชนนำไปเผยแพร่สู่ประชาชนต่อไป 


      สนง.ประชาสัมพันธ์จังหวัดนครปฐม – ภาพ/ข่าว

      Key 8 news รายงาน
      ข่าวเด็ดนครปฐมนิวส์ สนับสนุน

      นครปฐม เปิดเทศกาลชมพูพันธุ์ทิพย์บานสะพรั่งที่กำแพงแสน

      รองผู้ว่าฯ นครปฐม เปิดเทศกาลชมพูพันธุ์ทิพย์บานสะพรั่งที่กำแพงแสน ที่ถนนวัฒนาเสถียรสวัสดิ์ หน้าโรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม

      นางสาวอโรชา นันทมนตรี รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม

        นางสาวอโรชา นันทมนตรี รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม เป็นประธานเปิดงานเทศกาลชมพูพันธุ์ทิพย์บานสะพรั่งที่กำแพงแสน โดยมี ศาสตราจารย์ เกียรติคุณ วัฒนา เสถียรสวัสดิ์ นางวราภรณ์ เจริญศิริโชติ นายกเหล่ากาชาดจังหวัด พร้อมด้วย รองนายกเหล่ากาชาดจังหวัด นายอำเภอกำแพงแสน ประชาสัมพันธ์จังหวัดท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัด คณะผู้บริหารมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และแขกผู้เกียรติ ร่วมชมบรรยากาศดอกชมพูพันธุ์ทิพย์บานสะพรั่งในครั้งนี้ โดย ดร.จงรัก วัชรินทร์รัตน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า การจัดงานเทศกาลชมพู พันธุ์ ทิพย์บานสะพรั่งที่ กำแพงแสน มีวัตถุประสงค์เพื่อการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมของประเทศไทย การเผยแพร่ความงามทางธรรมชาติของแนวต้นชมพูพันธุ์ทิพย์

      มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียน “รุกข มรดกแผ่นดิน” โดยกรมส่งเสริมวัฒนธรรม
      ประจำปี 2562 การปลูกต้นชมพูพันธุ์ทิพย์ในพื้นที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม เป็นแนวความคิดของท่านศาสตราจารย์ เกียรติคุณ วัฒนาเสถียรสวัสดิ์ เมื่อปีพุทธศักราช 2520 ขณะท่านดำรงตำแหน่งรองอธิการบดีวิทยาเขตกำแพงแสนท่านแรก มีนโยบายปลูกต้นไม้ใหญ่เพื่อเป็นแนวกันลมและเพื่อความร่มรื่นเป็นร่มเงาในอนาคตจึงได้กำหนดปลูกสองฟากถนน เริ่มต้นจากประตูชลประทานผ่านหน้าโรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน จนถึงประตูฝั่งจันทรุเบกษา ระยะทางประมาณ 3 กิโลเมตร โดยท่านได้รับมอบเมล็ดพันธุ์มาจากท่น ศาสตราจารย์ ระพี สาคริฏ อธิการบดีในขณะนั้นที่ท่านได้นำเมล็ดพันธุ์มาจากประเทศสิงคโปร์

      ปัจจุบันวิทยาเขตกำแพงแสนปลูกต้นชมพูพันธุ์ทิพย์ไว้ ทั้งหมด 1,258 ต้น

        โดยปลูกสองข้างทางถนนสายวัฒนาเสถียรสวัสดิ์ (ถนนสาย 1) จำนวน 580 ต้น พื้นที่สวน
      100 ปี จำนวน 77 ต้น สวนเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จำนวน 12 ต้น สระพระพิรุณ จำนวน ๙98 ต้น พื้นที่ด้านหน้าสวนปรง จำนวน 90 ต้น พื้นที่บริเวณบ่อ 6 จำนวน 165 ต้น และ บริเวณข้างถนนดินขอบบ่อ 6 ถึงบริเวณที่พักอาศัยข้าราชการ จำนวน 236 ต้น
      สำหรับในปีพุทธศักราช 2567มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน ได้คาดการณ์การบานของชมพูพันธุ์ทิพย์ ไว้ 3 ระยะ ประกอบด้วย
      ระยะที่ 1 บานประปราย ระหว่างวันที่ 29 กุมภาพันธ์ – 3 มีนาคม 2567
      ระยะที่ 2 บานสะพรั่ง ระหว่างวันที่ 4 – 10 มีนาคม 2567
      ระยะที่ 3 จะแจ้งให้ทราบภายหลัง (เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศที่ส่งผลต่อปัจจัยการบานของดอก)

        สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดนครปฐม ภาพ_ข่าว

      Key8 news.ราบงาน

      สนับสนุนโดย.

      นครปฐม. มอบโล่รางวัลเกียรติคุณ หมู่บ้านอยู่เย็นประจำปี 2566 ระดับจังหวัด

      นครปฐม. มอบโล่รางวัลเกียรติคุณ ให้แก่หมู่บ้านที่ได้รับรางวัลโครงการคัดเลือกหมู่บ้านเข้มแข็งตามแนวทาง “แผ่นดินธรรม แผ่นดินทอง” (หมู่บ้านอยู่เย็น) ประจำปี 2566 ระดับจังหวัด

      เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2567 ที่ห้องประชุมพิมานปฐม ชั้น 5 ศาลากลางจังหวัดนครปฐม นายสุรศักดิ์ เจริญศิริโชติ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม เป็นประธานมอบโล่รางวัลเกียรติคุณ ของปลัดกระทรวงมหาดไทย ให้แก่หมู่บ้านที่ได้รับรางวัลโครงการคัดเลือกหมู่บ้านเข้มแข็งตามแนวทาง “แผ่นดินธรรม แผ่นดินทอง” (หมู่บ้านอยู่เย็น) ประจำปี 2566 ระดับจังหวัด

         โดยนายพัฒนพงษ์ สร้อยอินทรากุล ปลัดจังหวัดนครปฐม กล่าวว่า กรมการปกครองได้แจ้งจังหวัดดำเนินโครงการคัดเลือกหมู่บ้านเข้มแข็งตามแนวทางแผ่นดินธรรม แผ่นดินทอง (หมู่บ้านอยู่เย็น) ประจำปี 2566 ขึ้น เพื่อเป็นการสร้างแรงจูงใจและให้รางวัลแก่หมู่บ้านที่คณะกรรมการหมู่บ้าน (กม.) / คณะกรรมการกลางหมู่บ้านอาสาพัฒนาและป้องกันตนเอง (อพป.) ที่มีผลงานโดดเด่นเป็นที่ประจักษ์สามารถเป็นแบบอย่างในการปฏิบัติงานให้แก่หมู่บ้านอื่น ๆ และสาธารณะชนรับทราบอย่างแพร่หลาย โดยดำเนินการคัดเลือกหมู่บ้านในระดับตำบล ระดับอำเภอ ระดับจังหวัด ระดับเขต และระดับภาค ตามหลักเกณฑ์และขั้นตอนการดำเนินการที่กำหนด
      โดยในระดับจังหวัด จังหวัดนครปฐม ได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจประเมินผลงานและตัดสิน ประจำปี พ.ศ. 2566 ซึ่งได้ทำการตรวจผลการคัดเลือกในระดับจังหวัด เรียบร้อยแล้ว ผลการคัดเลือก มีดังนี้

      รางวัลชนะเลิศ 
      บ้านยางพัฒนา หมู่ที่ 7 ตำบลทุ่งกระพังโหม อำเภอกำแพงแสน
      รางวัลรองชนะเลิศ อันดับ 1
      บ้านอ้อมใหญ่ หมู่ที่ 4 ตำบลอ้อมใหญ่ อำเภอสามพราน
      สำหรับหมู่บ้านที่ได้รับรางวัลชนะเลิศระดับจังหวัดนครปฐม ได้ทำการแข่งขันชนะเลิศในระดับเขตตรวจราชการกรมการปกครองที่ 2 และแข่งขันได้รับรางวัลชนะเลิศระดับภาคกลาง ซึ่งจะเข้ารับรางวัลถ้วยเกียรติยศพระราชทานของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
      ในวันคณะกรรมการหมู่บ้าน ณ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพมหานคร ต่อไป 

      ……………………………………
      สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดนครปฐม ภาพ/ข่าว

      กลุ่มจันทโก กาญจนบุรี (MC2008) ร่วมกับกลุ่มไบค์เกอร์ทั้วประเทศ จัด “โครงการปันสุขเพื่อคนห้วยกระเจา”

      กลุ่มจันทโก กาญจนบุรี (MC2008) ร่วมกับกลุ่มไบค์เกอร์ จากหลายกลุ่มหลายจังหวัด เดินทางมาเพื่อจัด “โครงการปันสุขเพื่อคนห้วยกระเจา” หลังถูกหน่วยงานร้ฐบางหน่วย สั่งยกเลิกงานภาคกลางคืนที่ได้วางแผนงานไว้หมดแล้ว ร้านค้า โรงแรม รีสอร์ทที่จองไว้ ต้องถูกยกเลิกทั้งหมด

      เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2567 ที่ จ.กาญจนบุรี โดยกลุ่ม จันทโก กาญจนบุรี (MC 2008) ร่วมกับกลุ่มชาวสองล้อไบค์เกอร์จากหลายกลุ่มในหลายจังหวัด มารวมตัวเพื่อจัดกิจกรรมใน “โครงการปันสุข เพื่อคนห้วยกระเจา” เพื่อมอบ ข้าวสาร อุปกรณ์ช่วยพยุงเดินแบบ 4 ขา ,ไม้พยุงเดิน พร้อมกับเงินที่ได้รวบรวมกันของกลุ่มไบค์เกอร์อีกจำนวนหนึ่ง เพื่อมอบให้กับ โรงพยาบาลห้วยกระเจาเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา ตำบล ห้วยกระเจา อำเภอ ห้วยกระเจา กาญจนบุรี

      เพื่อนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์และเพื่อเอาไปแจกจ่ายให้แก่ผู้สูงอายุต่อไป โดยมีว่าที่ ร.ต.เสน่ห์ น่วมศรีนวล ประธานกลุ่ม MC 2008 ร่วมกับสมาชิกชาวสองล้อไบค์เกอร์ จากหลายจังหวัด
      โดยมี กลุ่มหวานเย็น ,กลุ่มหมูพันทาง ,กลุ่มสูงวัย rider , กลุ่มเก้าทัพ กาญจนบุรี , กลุ่มมเหศวร , กลุ่มสหายกัน , กลุ่มขุนแผนสุพรรณ , กลุ่มไคลแม็กซ์สุพรรณ , กลุ่มเลี่ยงเมือง , กลุ่ม dragon สุพรรณ , กลุ่มวินโกสลานสัก ใน “โครงการปันสุข เพื่อคนห้วยกระเจา”

      ภายในงานของวันกิจกรรมนั้น ที่ศาลาเอนกประสงค์ของโรงพยาบาลห้วยกระเจา ได้มีชาวบ้านและผู้สูงอายุกว่า 60 คน มาร่วมกิจกรรมเพื่อรับมอบอุปกรณ์ช่วยพยุงและข้าวสาร โดยมีนาย อวิรุทธ์ รู้วิวัฒน์ธนพงษ์ ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ม.6 ต.ห้วยกระเจา เป็นผู้ประสานงานให้ชาวบ้านทราบถึงกิจกรรมนี้ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่จากโรงพยาบาลห้วยกระเจาคอยต้อนรับ โดย ว่าที่ ร.ต.เสน่ห์ น่วมศรีนวล ประธานกลุ่ม MC 2008 ได้มอบของต่างๆและเงินสดที่ได้รวบรวมมามอบให้กับ คุณ วารีย์ เปียสวน หัวหน้ากลุ่มงานบริการประฐมภูมิและองค์รวม เพื่อเก็บไว้ใช้ในกิจการงานของโรงพยาบาลและเพื่อไปมอบให้แก่ผู้สูงอายุต่อไป

      ขอขอบคุณภาพ-ข่าว.กีรติ ก้อนทองคำ จ.กาญจนบุรี

      จัดอบรมตั้งชุดปฏิบัติการพิเศษฝ่ายปกครองจังหวัดรุ่นที่ 1 เพื่อขับเคลื่อนนโยบายจัดระเบียบสังคม – ปราบปรามผู้มีอิทธิพล

      เปิดการฝึกอบรมจัดตั้งชุดปฏิบัติการพิเศษฝ่ายปกครองจังหวัด เพื่อขับเคลื่อนนโยบายจัดระเบียบสังคม – ปราบปรามผู้มีอิทธิพล รุ่นที่ 1

      วันที่ 27 พฤศจิกายน 2566 เวลา 08.30 น. นายมานะ สิมมา ผู้ตรวจราชการกรมการปกครอง รักษาการในตำแหน่งที่ปรึกษาด้านกฎหมาย สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในพิธีเปิด “โครงการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการชุดปฏิบัติการพิเศษฝ่ายปกครองจังหวัด เพื่อขับเคลื่อนนโยบายด้านการจัดระเบียบสังคมและการปราบปรามผู้มีอิทธิพล ตลอดจนการบังคับใช้กฎหมายของฝ่ายปกครอง ปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 รุ่นที่ 1” โดยมี ดร.รัฐวิช จิตสุจริตวงศ์ นายอำเภอศรีรัตนะ รักษาการในตำแหน่ง ผู้อำนวยการส่วนการสอบสวนคดีอาญา สำนักการสอบสวนและนิติการ กรมการปกครอง เป็นผู้กล่าวรายงาน ณ วิทยาลัยการปกครอง อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี

      สืบเนื่องจากนายอนุทิน ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้มอบนโยบายสำคัญเพื่อขับเคลื่อนภารกิจ “บำบัดทุกข์ บำรุงสุข” ของกระทรวงมหาดไทย โดยมีนโยบายที่เกี่ยวข้องกับภารกิจของกรมการปกครอง ด้านการจัดระเบียบสังคม การปราบปรามผู้มีอิทธิพล และการแก้ไขปัญหายาเสพติด


      ในการนี้นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้โปรดมีบัญชาให้กรมการปกครอง เร่งรัดดำเนินการเพื่อตอบสนองนโยบายในการป้องกันและปราบปรามผู้มีอิทธิพล พร้อมทั้งให้จัดตั้งชุดเฉพาะกิจระดับจังหวัดทุกจังหวัดและระดับอำเภอทุกอำเภอ โดยให้พร้อมปฏิบัติการตลอด 24 ชั่วโมง รวมทั้งตั้งจุดตรวจจุดสกัดสิ่งผิดกฎหมาย ตรวจตรา หาข่าว และดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดสำหรับผู้ที่ฝ่าฝืนในทันที ซึ่งกรมการปกครอง ได้เปิดปฏิบัติการ (Kick off) ตามนโยบายการจัดระเบียบสังคมและปราบปรามผู้มีอิทธิพล โดยให้จังหวัดและอำเภอทุกแห่งดำเนินการจัดตั้งชุดปฏิบัติการพิเศษฝ่ายปกครอง ให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ 31 ตุลาคม 2566 รวมทั้งบูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามอำนาจหน้าที่ ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2566 เป็นต้นไป โดยการบังคับใช้กฎหมายดังกล่าว จะต้องคำนึงถึงสิทธิ และเสรีภาพของประชาชน ซึ่งต้องสอดคล้องกับพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 ที่กำหนดให้ในการควบคุมตัว เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้รับผิดชอบ ต้องบันทึกภาพและเสียงอย่างต่อเนื่องในขณะจับและควบคุมจนกระทั่งส่งตัวให้พนักงานสอบสวนหรือปล่อยตัวบุคคลดังกล่าวไป

      การฝึกอบรมในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้พนักงานฝ่ายปกครอง ได้มีความรู้ทั้งทางทฤษฎี และได้ฝึกทักษะภาคปฏิบัติ เพื่อเสริมสร้างสมรรถนะที่เหมาะสมกับภารกิจการทำงาน เพื่อให้ปฏิบัติภารกิจได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ โดยเนื้อหาของหลักสูตร ประกอบด้วยการบรรยายทางทฤษฎีกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการจัดระเบียบสังคมและการปราบปรามผู้มีอิทธิพล และการฝึกภาคปฏิบัติยุทธวิธีการตรวจค้น จับกุม และการใช้อาวุธปืน รวมถึงหลักกฎหมายและวิธีการดำเนินการตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565

      เพื่อให้ผู้ฝึกอบรมสามารถเป็นแกนหลักในการขับเคลื่อนชุดปฏิบัติการพิเศษฝ่ายปกครองจังหวัดและอำเภอต่อไป รวมระยะเวลาทั้งสิ้น 5 วัน โดยผู้เข้ารับการฝึกอบรมประกอบด้วย เจ้าพนักงานปกครองและปลัดอำเภอ ที่ทุกจังหวัดคัดเลือกมา จังหวัดละ 10 คน โดยในรุ่นที่ 1 นี้มีจำนวน 19 จังหวัด รวมทั้งสิ้น 190 คน

      ทั้งนี้ ในการฝึกอบรมในรุ่นที่ 1 นี้ เริ่มตั้งแต่วันที่ 27 พฤศจิกายน ถึง 1 ธันวาคม 2566 ส่วนรุ่นที่ 2 จะฝึกอบรมระหว่างวันที่ 4 – 8 ธันวาคม 2566 รุ่นที่ 3 ระหว่างวันที่ 11 – 15 ธันวาคม 2566 และรุ่นที่ 4 ระหว่างวันที่ 18 – 22 ธันวาคม 2566 ครบทั้ง 76 จังหวัดทั่วประเทศ

      สำหรับสื่อมวลชนที่สนใจจะเข้ามาเยี่ยมชมหรือนำเสนอข่าวการฝึกอบรมในครั้งนี้ สามารถติดต่อได้ที่ นายวศินระพี ไผ่ประดิษฐ์ โทร. 08 3741 5505 เพื่อประสานงานและอำนวยความสะดวกในการถ่ายทำ

      ชาวบ้านร้องฝ่ายปกครอง ช่วยจับเจ้ามือหวยใต้ดินตระเวนขี่ จยย.บริการรับแท่งทั่วหมู่บ้าน

      ชาวบ้านสวนฝ้าย ติดพนันหวยใต้ดินมีให้แทงทุกวัน ร้อง ศดธ. ชุดปฏิบัติการพิเศษฝ่ายปกครองเดชอุดม ลงพื้นที่ รวบคนเดินโพยขับจยย. วิ่งตระเวนขายทั่วหมู่บ้าน ได้อาวุธปืน มีด ของกลางหลายรายการ

      เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2566 ที่ผ่านมา
      ตามนโยบายสั่งการของนายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ให้ทุกอำเภอแต่งตั้งชุดปฏิบัติการพิเศษฝ่ายปกครอง และ Clik Off พร้อมกันทั่วประเทศ
      ภายใต้การอำนวยการของ นายศุภศิษย์ กอเจริญยศ ผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี
      นายกองโท เสนีย์ มะโน นายอำเภอเดชอุดม มอบหมายให้
      นายราเยส ราบ หัวหน้าชุดปฏิบัติการพิเศษฝ่ายปกครองอำเภอเดชอุดม ตรวจสอบเรื่องได้รับเรื่องร้องเรียนจากประชาชนในพื้นที่หมู่บ้านสวนฝ้าย หมู่ที่ 7 ตำบลสมสะอาด

      แจ้งว่ามีลักลอบเล่นการพนันหวยใต้ดิน หวยลาวหวยฮานอย โดยเปิดให้เล่นทุกวัน ชาวบ้านสูญเงินจำนวนมาก จทน.จึงได้สืบสวนหาข่าวและลงพื้นที่ตรวจสอบ ผลการปฏิบัติ
      สามารถจับกุม นายจิระพงษ์ อนุพันธ์ อายุ 47 พบของกลางเป็น สมุดโพยหวย อาวุธมีดภายในกระเป๋า พร้อมเงินสด จำนวน 16,850 บาทและสิ่งเทียมอาวุธปืนภายในรถจักรยานยนต์

      โดยผู้ถูกจับให้การว่า ตนเองทำหน้าที่ขายหวยส่งให้เจ้วรรณ โดยตนเองจะขับรถจักรยานยนต์ไปตามหมู่บ้านเพื่อเชิญชวนให้ชาวบ้านมาแทงหวยกับตน โดยตนมีหวยให้เลือกแทงหลายแบบ หวยลาว ซึ่งประกาศผล ทุกวันจันทร์ พุธ ศุกร์ หรือหวยฮานอยมีการจับรางวัลทุกวันๆละสองครั้ง
      เจ้าหน้าที่จึงควบคุมตัวและใด้แจ้งข้อกล่าวหาให้ผู้ถูกจับกุมทราบว่าใด้กระทำความผิด ข้อหาลักลอบเล่นการพนันหายใต้ดิน(คนเดินโพยฝ่ายเจ้ามือ) เอาทรัพย์โดยผิดกฎหมาย
      จึงได้จัดทำบันทึกจับกุม,บันทึกตรวจยึดของกลาง ไว้เป็นหลักฐานและนำของกลางทั้งหมด
      ส่ง พงส.สภ.เดชอุดม
      เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

      กรมการปกครอง ร่วมกับ DSI จับกุมขบวนการเพจ Facebook โฆษณาหลอกลวงรับทำบัตรประจำตัวประชาชน

      กรมการปกครอง ร่วมกับ DSI จับกุมขบวนการเพจ Facebook โฆษณาหลอกลวงรับทำบัตรประจำตัวประชาชน

      วันที่ 22 พ.ย. 2566 เวลา 09.30 น. พันตำรวจตรี สุริยา สิงหกมล อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ พร้อมด้วยนายสมชัย เลิศประสิทธิพันธ์ รองอธิบดีกรมการปกครอง ร่วมกันแถลงผลการดำเนินคดีขบวนการเพจ Facebook โฆษณาหลอกลวงรับทำบัตรประจำตัวประชาชน สืบเนื่องจากกระทรวงมหาดไทย ได้รับข้อร้องเรียนจากประชาชน กรณีมีผู้ใช้โซเชียลมีเดีย ทั้งเพจ Facebook และแอปพลิเคชัน LINE หลอกลวงประชาชน ว่าสามารถทำบัตรประจำตัวประชาชนให้กับบุคคลต่างด้าว บุคคลไม่มีสัญชาติ หรือบุคคลที่ไม่มีบัตรประจำตัวประชาชนได้ ซึ่งมีผู้ถูกหลอกลวงสูญเสียเงินเป็นจำนวนมาก

      กระทรวงมหาดไทย โดยกรมการปกครอง ได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงในเบื้องต้นพบว่ามีมูลในการกระทำความผิด จากนั้นจึงบูรณาการร่วมกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ เพื่อทำการสืบสวนจากเส้นทางการเงินของบัญชีผู้รับโอนเงินจากผู้เสียหายที่ถูกหลอกลวง ซึ่งมีลักษณะเป็นบัญชีม้าเรื่อยไปเป็นทอดๆ

      โดยเริ่มจากบัญชีของผู้กระทำความผิดที่อยู่ในพื้นที่ อ.หนองบัว จ.นครสวรรค์ จากนั้นมีการโอนไปยังบัญชีของผู้กระทำความผิดในพื้นที่ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี และมีการโอนต่อไปอีกยังบัญชีที่คาดว่าเป็นตัวการและมีการกดเงินจากตู้ ATM ในพื้นที่ อ.แม่สาย จ.เชียงราย ซึ่งบัญชีดังกล่าวมีเงินหมุนเวียนกว่า 100 ล้านบาท กรมสอบสวนคดีพิเศษจึงได้รับกรณีนี้ไว้เป็นคดีพิเศษที่ 98/2566

      และเมื่อวันที่ 21 พ.ย. 2566 ตั้งแต่เวลาประมาณ 15.30 น. กรมสอบสวนคดีพิเศษ นำโดย นายเขมชาติ ประกายหงษ์มณี ผอ.กองคดีเทคโนโลยีและสารสนเทศ พร้อมด้วยกรมการปกครอง นำโดย ดร.รัฐวิช จิตสุจริตวงศ์ นายอำเภอศรีรัตนะ รักษาการในตำแหน่ง ผอ.ส่วนการสอบสวนคดีอาญา สำนักการสอบสวนและนิติการ ได้บูรณาการร่วมกันโดยแบ่งกำลังออกเป็น 3 ชุด ย้อนรอยนำหมายจับและหมายค้น เข้าจับกุมตัวการและผู้สนับสนุนการกระทำความผิด รวมทั้งตรวจค้นรวบรวมพยานหลักฐานต่อเนื่องกัน จำนวน 3 พื้นที่ ได้แก่ 1. พื้นที่ อ.แม่สาย จ.เชียงราย จับกุมผู้กระทำความผิด จำนวน 1 คน 2. พื้นที่ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี จับกุมผู้กระทำความผิด จำนวน 1 คน 3. พื้นที่ อ.หนองบัว จ.นครสวรรค์ จับกุมผู้กระทำความผิด จำนวน 1 คน ซึ่งผู้กระทำความผิดทั้งหมดเชื่อว่า มีความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกันเป็นขบวนการ

      โดยนายสมชัยฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า กรมการปกครองในฐานะผู้ที่มีหน้าที่ในการรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง และบำบัดทุกข์ บำรุงสุขให้แก่ประชาชน พร้อมทั้ง มีหน้าที่ดูแลระบบการทะเบียนราษฎรและบัตรประจำตัวประชาชนของประเทศ การกระทำดังกล่าว นอกจากจะเป็นการสร้างความเดือนร้อนรังแกประชาชนแล้ว ยังเป็นการทำลายความเชื่อมั่นในระบบการทะเบียนราษฎรและบัตรประจำตัวประชาชนของประเทศอีกด้วย ดังนั้น จึงขอให้ประชาชนได้โปรดอย่าได้หลงเชื่อบุคคลใด ว่าสามารถจัดทำบัตรประจำตัวประชาชนในระบบออนไลน์หรือทางโซเชียลมิเดียได้ เพราะการจัดทำบัตรประจำตัวประชาชนนั้น มีขั้นตอนตามกฎหมายที่กำหนดไว้แน่ชัด โดยเฉพาะในสื่อสังคมออนไลน์ กรมการปกครองไม่มีนโยบายในการรับทำบัตรประชาชนผ่านช่องทางออนไลน์และไม่มีการเรียกเก็บเงินใดทั้งสิ้น

      โดยประชาชนที่ตกเป็นเสียหายหรือถูกหลอกลวงจากเครือข่ายในลักษณะดังกล่าวนี้ สามารถติดต่อเพื่อขอความช่วยเหลือได้ที่ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัด/อำเภอทุกแห่ง หรือ Call Center โทร. 1567 เพื่อจักได้ประสานความช่วยเหลือและการดำเนินคดีกับกรมสอบสวนคดีพิเศษต่อไป หรือหากประชาชนมีข้อสงสัยหรือต้องการสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับการทะเบียนราษฎรและบัตรประจำตัวประชาชน สามารถติดต่อสอบถามได้ที่สำนักทะเบียนอำเภอหรือสำนักทะเบียนท้องถิ่นทุกแห่งใกล้บ้าน หรือ Call Center โทร. 1548